5G คือเทคโนโลยีไร้สายใหม่ล่าสุดที่มีความเร็วที่เร็วขึ้น เวลาแฝงที่ลดลง และการเชื่อมต่อที่เชื่อถือได้มากขึ้น แต่สำหรับผู้ใช้ทั่วๆ ไปอย่างเรา จำเป็นต้องอัพเกรดโทรศัพท์มือถือของเราเพื่อให้ได้เทคโนโลยีใหม่แบบนี้ด้วยหรือไม่ แล้วจริงๆ แล้ว 5G แตกต่างจาก 4G อย่างไร และแต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาเปรียบเทียบระบบ 5G และ 4G ในแง่ของฟีเจอร์ ประสิทธิภาพ ความพร้อมใช้งาน และต้นทุน เมื่ออ่านจนจบบทความนี้ คุณจะมีความเข้าใจที่ดีขึ้น และน่าจะสามารถตอบคำถามที่ว่า จำเป็นต้องซื้อโทรศัพท์มือถือ 5G ใหม่หรือไม่ หรือยังคงสามารถใช้มือถือ 4G ได้ต่อไปเรื่อยๆ
จําเป็นต้องซื้อมือถือ 5G ไหม ต่างจาก 4G ยังไง
ก่อนจะตอบคำถามว่า จำเป็นต้องซื้อโทรศัพท์ 5G หรือไม่นั้น คุณจำต้องรู้ก่อนว่าระหว่าง 5G กับ 4G นั้นแตกต่างกันยังไง แล้วความล้ำหน้าของเทคโนโลยีระดับ 5G นั้น คุณจำเป็นต้องใช้มากน้อยแค่ไหน แม้ว่าเรื่องเทคโนโลยีเหล่านี้อาจฟังดูเข้าใจยาก แต่ลองอ่านสิ่งที่ผมกำลังจะเหล่าต่อไปนี้ดู เพราะพยายามเขียนสรุปให้เข้าใจง่ายๆ เพราะถ้าเป็นข้อมูลเชิงเทคนิคจริงๆ จ่ายอ่านยากกว่านี้มาก แล้วเดี๋ยวจะไปสรุปกันตอนท้ายอีกที
ความเร็วและเวลาแฝง
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งระหว่าง 5G และ 4G คือความเร็ว หมายถึงสามารถถ่ายโอนข้อมูลผ่านเครือข่ายได้ ยิ่งความเร็วเร็วเท่าไร คุณก็จะสามารถดาวน์โหลดไฟล์ สตรีมวิดีโอ เล่นเกมออนไลน์ และใช้บริการออนไลน์อื่นๆ ได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น จากข้อมูลความเร็วในการดาวน์โหลดเฉลี่ยของโทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบ 5G ในปัจจุบันคือ 71 Mbps ในขณะที่ความเร็วในการดาวน์โหลดเฉลี่ย 4G คือประมาณ 37.1 Mbps ซึ่งหมายความว่า 5G นั้นเร็วกว่า 4G โดยเฉลี่ยเกือบสองเท่า อย่างไรก็ตาม ความเร็วสูงสุดของ 5G อาจสูงกว่านี้มาก โดยอาจสูงถึง 1,000 Mbps ในบางพื้นที่ในเมือง ซึ่งเร็วกว่าความเร็วสูงสุดของ 4G เกือบ 20 เท่า ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 50 Mbps
อีกความแตกต่างระหว่าง 5G และ 4G ก็คือเวลาแฝง ซึ่งหมายถึงระยะเวลาที่ข้อมูลเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งบนเครือข่าย ยิ่งเวลาแฝงต่ำ เครือข่ายก็จะตอบสนองและราบรื่นยิ่งขึ้น เวลาแฝงต่ำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการการโต้ตอบแบบเรียลไทม์ เช่น การเล่นเกม การประชุมทางวิดีโอ และการใช้แพลตฟอร์มเสมือนจริง จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า เวลาแฝงของโทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบ 5G โดยเฉลี่ยคือ 21 มิลลิวินาที ในขณะที่เวลาแฝงของ 4G เฉลี่ยอยู่ที่ 48 ms ซึ่งหมายความว่า 5G มีเวลาแฝงน้อยกว่าของ 4G ประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้ตอบสนองและเชื่อถือได้มากขึ้น
ความเร็วและเวลาแฝงของ 5G จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อใช้โทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบ 5G คุณสามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์ขนาด 2 GB ได้ในเวลาไม่ถึง 30 วินาที ในขณะที่ 4G จะใช้เวลามากกว่า 7 นาที คุณยังสามารถสตรีมวิดีโอความละเอียดสูงและเล่นเกมออนไลน์ได้โดยไม่บัฟเฟอร์หรือล้าหลัง คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับวิดีโอคอลและการประชุมเสมือนจริงที่ราบรื่นและชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย 5G
ความครอบคลุมและความจุ
ข้อแตกต่างระหว่างระบบ 5G และ 4G ก็คือความครอบคลุมและความจุ โดยความแพร่หลายและสม่ำเสมอของเครือข่ายในพื้นที่ที่กำหนดจะเรียกว่าการครอบคลุมหรือ Coverage ในขณะที่จำนวนอุปกรณ์และผู้ใช้ที่เครือข่ายสามารถรองรับได้ในเวลาเดียวกัน โดยไม่กระทบต่อคุณภาพของบริการ จะเรียกว่าความจุ หรือ Capacity
เครือข่าย 4G ครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวางในเขตเมืองและชานเมืองส่วนใหญ่ รวมถึงพื้นที่ชนบทบางแห่ง อย่างไรก็ตาม เครือข่าย 4G อาจประสบปัญหาความแออัดและการรบกวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีประชากรใช้โทรศัพท์มือถือพร้อมกันหนาแน่นหรือในช่วงเวลาเร่งด่วน ซึ่งอาจส่งผลให้ความเร็วช้าลง เวลาแฝงสูงขึ้น และการเชื่อมต่อหลุด
เครือข่าย 5G ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งาน และอาจมีความครอบคลุมจำกัดในบางภูมิภาค อย่างไรก็ตาม เครือข่าย 5G ใช้คลื่นวิทยุและคลื่นมิลลิเมตร (mmWave) ร่วมกันเพื่อเพิ่มความจุและความครอบคลุมของเครือข่าย คลื่นวิทยุเป็นคลื่นประเภทเดียวกับที่ใช้โดยเครือข่าย 4G แต่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากกว่าเมื่อใช้ 5G คลื่นมิลลิเมตรเป็นคลื่นประเภทใหม่ที่มีความถี่สูงมากและสามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้น แต่มีช่วงที่สั้นกว่าและสามารถถูกขัดขวางโดยสิ่งกีดขวาง เช่น อาคารและต้นไม้
เพื่อเอาชนะความท้าทายของคลื่นมิลลิเมตร เครือข่าย 5G ใช้เซลล์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสถานีฐานขนาดเล็กที่สามารถติดตั้งบนเสาไฟ หลังคา และสถานที่อื่นๆ เซลล์ขนาดเล็กสามารถเพิ่มความแรงของสัญญาณและขยายความครอบคลุมของเครือข่าย 5G ได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างเครือข่ายของตนเอง ที่เรียกว่าเครือข่ายตาข่าย ซึ่งสามารถกำหนดเส้นทางข้อมูลแบบไดนามิก และหลีกเลี่ยงความแออัดและการรบกวน
ความครอบคลุมและความจุของ 5G สามารถรองรับอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือและแอพพลิเคชั่นได้มากกว่า 4G ตัวอย่างเช่น 5G สามารถเปิดใช้งาน Internet of Things (IoT) ซึ่งเป็นเครือข่ายของอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ระบบ 5G ยังสามารถรองรับเมืองอัจฉริยะซึ่งเป็นเขตเมืองที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและความยั่งยืนของบริการต่างๆ เช่น การคมนาคม พลังงาน และการดูแลสุขภาพ ระบบ 5G ยังสามารถรองรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งเป็นยานพาหนะที่สามารถขับเคลื่อนเองได้โดยไม่ต้องมีมนุษย์เข้ามาแทรกแซง
แอปพลิเคชันและการใช้งาน
ข้อแตกต่างระหว่างโทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบ 5G และ 4G ก็คือแอปพลิเคชันและการใช้งานต่างๆ ซึ่งหมายถึงบริการและโซลูชันที่เครือข่ายสามารถเปิดใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพได้ เครือข่าย 4G และ 5G มีแอปพลิเคชันและการใช้งานเฉพาะที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและความสามารถ
โทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบเครือข่าย 4G เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ก็การใช้งานมากมายที่เราใช้ในปัจจุบัน เช่น โซเชียลมีเดีย อีคอมเมิร์ซ การศึกษาออนไลน์ และการแพทย์ทางไกล ระบบ 4G ทำให้การพัฒนาและการเติบโตของแอปมือถือ การประมวลผลแบบคลาวด์ และปัญญาประดิษฐ์ เติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายมากขึ้นอย่างในทุกวันนี้
ในขณะที่โทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบเครือข่าย 5G สามารถใช้ร่วมกับแอปพลิเคชันเฉพาะและนวัตกรรมใหม่ที่ไม่สามารถทำได้หรือเป็นไปได้กับในระบบ 4G ทำให้ระบบ 5G สามารถเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมและภาคส่วนต่างๆ ได้มากมาย เช่น แอปการดูแลสุขภาพที่สะดวกและเร็วกว่าเดิมมาก แอปการขนส่งที่ติดตามข้อมูลได้รวดเร็วมาก แอปด้านสื่อความบันเทิงที่ดาวน์โหลดข้อมูลมหาศาลในเวลาอันสั้น และแอปการศึกษาที่ครบวงจนเสมือนจริง เป็นต้น ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบ 5G สามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชั่นเฉพาะทางอย่างการผ่าตัดระยะไกล ซึ่งเป็นการผ่าตัดประเภทหนึ่งที่ศัลยแพทย์สามารถทำได้จากระยะไกลโดยใช้แขนหุ่นยนต์และการเชื่อมต่อ 5G บนอุปกรณ์โดยแพทย์ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อไปผ่าตัดเลย
นอกจากโทรศัพท์มือถือแล้ว เครือข่าย 5G ยังสามารถนำไปใช้งานร่วมกับอุปกรณ์แสดงผลเสมือนจริงอย่าง AR และ VR ได้ด้วย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างการโต้ตอบได้โดยใช้เนื้อหาที่เสมือนจริง นอกจากนี้ยังมีมาการนำ 5G ไปใช้กับสื่อใหม่อีกหลายอย่างเช่น โฮโลแกรม ซึ่งเป็นการสื่อสารประเภทหนึ่งที่สามารถฉายภาพ 3 มิติของผู้คนและวัตถุในแบบเรียลไทม์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม 5G ก็มีข้อเสียและความท้าทายเช่นกัน 5G ยังไม่มีให้บริการอย่างแพร่หลายในบางพื้นที่ และอาจต้องใช้โทรศัพท์มือถื แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์รุ่นใหม่และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ 5G ยังอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว รวมถึงข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพด้วย
โดยสรุป 5G และ 4G เป็นเทคโนโลยีเครือข่ายมือถือสองเจเนอเรชั่นที่แตกต่างกันซึ่งมีฟีเจอร์และความสามารถที่แตกต่างกัน โดยที่ระบบ 5G เร็วกว่า ตอบสนองมากกว่า เชื่อถือได้มากกว่า และรองรับการใช้งานได้มากกว่า 4G เป็นอย่างมาก อีกทั้ง 5G ยังสามารถใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันและการใช้งานที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมของเรา
คุณจะจำเป็นต้องซื้อโทรศัพท์ 5G หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของคุณ หากคุณต้องการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และความเร็วในอ่านโหลดข้อมูลระดับ 5G ก็สามารถซื้อได้ เพราะระบบ 5G จะมาพร้อมกับ ความเร็วที่เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก เวลาแฝงที่ลดลง และบริการใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม หากคุณพอใจกับประสิทธิภาพและฟังก์ชันการทำงานของโทรศัพท์ 4G อยู่แล้ว ก็อาจไม่จำเป็นต้องซื้อโทรศัพท์ที่รองรับ 5G ก็ได้ คุณอาจต้องพิจารณาต้นทุน ความพร้อมใช้งาน และความเข้ากันได้ของโทรศัพท์และเครือข่าย 5G ก่อนตัดสินใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น