เราควรจะเลือกแท็บเล็ต RAM เท่าไรดี 4GB vs 6GB vs 8GB vs 12GB

ก่อนซื้อแท็บเล็ตระบบแอนดรอยด์ทุกครั้ง สิ่งสำคัญคือ คุณต้องดูว่าเครื่องรุ่นนั้นเค้าให้ RAM มาเท่าไร เรื่องนี้สำคัญมากเลย เพราะแท็บเล็ตจะแรงไม่แรง แรมเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน แต่คำถามต่อมาก็คือ แล้วแท็บเล็ตต้องการแรมเท่าไรดีจึงจะทำให้เครื่องทำงานเร็ว ๆ เพียงพอต่อการใช้งานของเรา จริง ๆ แล้วไม่ได้เลือกยากอะไรเลย ให้เราดูลักษณะการใช้งานของเราเป็นหลัก ว่าจะเอาอุปกรณ์นั้นไปทำอะไร งานต่างกันก็ต้องการขนาดแรมต่างกัน ในท้องตลาดมีแท็บเล็ตให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่รุ่นประหยัดราคาหลักพันบาท ไปจนถึงรุ่นท็อปราคาแพงหลายหมื่นบาท หลายรุ่นหลายยี่ห้อมาก แรมมีให้เลือกตั้งแต่ 4GB, 6GB, 8GB ไปจนถึง 12GB

แต่ถึงจะรุ่นประหยัดยังไง ก็ต้องมี RAM อย่างน้อย 4GB เป็นขั้นต่ำ ถ้าแรมน้อยกว่านี้ แม้จะยี่ห้อดังแค่ไหนก็ไม่ควรซื้อมาใช้เพราะเครื่องช้าแน่ ๆ อย่างแท็บเล็ตบางยี่ห้อดัง ให้แรมมาแค่ 2GB เป็นรุ่นเก่าหน่อย บอกเลยไม่น่าซื้อเลย แรมน้อยเกินไปสำหรับการใช้งานปัจจุบันนี้แล้ว ยิ่งถ้าลงแอปอะไรเพิ่มเข้าไป เครื่องช้าสุด ๆ ไปเลย ควรหลีกเลี่ยง หรือถ้าคุณต้องการแท็บเล็ตเอาไว้เล่นเกมส์ แรมยิ่งมีความสำคัญเข้าไปอีก นอกจากซีพียูแรง ๆ แล้ว ก็ต้องเลือกรุ่นที่แรมเยอะไว้ก่อน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งบทความนี้จะพยายามแจกแจงรายละเอียดเรื่องนี้ให้ลึกลงไปเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังจะซื้อแท็บเล็ตแอนดรอยด์ต่อไป

Samsung Galaxy Tab S9 FE LTE (6+128GB) Gray (5G)

หน้าจอขนาด 10.9 inch TFT LCD 90 Hz, ชิป Exynos1380, Front Camera 12 MP, Back Camera 8 MP, มาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น, รองรับการชาร์จไว 45W, ใช้กับปากกา S Pen ได้ ...

Content Cover

RAM คืออะไร แล้วมันทำอะไรในแท็บเล็ต

หัวข้อนี้จะออกมาในแนวเทคนิคเล็กน้อย แต่ไม่ได้ลงลึกอะไร ไว้สำหรับเป็นความรู้พื้นฐานคราว ๆ ก็แล้วกัน สำหรับคนใช้งานแท็บเล็ตแอนดรอยด์ควรรู้ไว้ก็ดี RAM ก็คือ ชิปที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำ (Memory) อ่านเขียนได้เร็วมาก ๆ ความจุไม่ได้มากอะไร 4GB, 6GB, 8GB หรือไปจนถึง 12GB เอาไว้เก็บข้อมูลชั่วคราวของระบบปฏิบัติการ รวมถึงแอปต่าง ๆ ก็จะกันพื้นที่แรมไว้สำหรับรันการทำงานของตัวแอปเอง ช่วยทำให้ระบบของแท็บเล็ตทำงานเร็วขึ้น ข้อมูลอะไรที่ใช้บ่อย ๆ แทนที่จะต้องไปดึงจากหน่วยความจำหลัก SSD ทุกครั้ง ก็เอาข้อมูลนั้นมาเก็บไว้ใน RAM ไว้ก่อน เวลาเรียกใช้ก็ดึงข้อมูลจาก RAM มาใช้ได้เลย ไม่ต้องไปอ่านจาก SSD อีก ข้อมูลที่ใช้บ่อย ๆ นี้รวมถึงเวลาเราเปิดแอปในแท็บเล็ตด้วย แอปไหนเพิ่งเปิดไม่นานมานี้ ถ้าเราเปิดอีกครั้งแอปก็ไม่ต้องโหลดใหม่ตั้งแต่ต้น ดึงมาจากแรมได้เลย ยิ่งแรมมาก แท็บเล็ตก็มีพื้นที่ชั่วคราวมาก โหลดหรือใช้งานแอปอะไร ก็จะเร็วขึ้นนั่นเอง

ยกตัวอย่างเช่น แท็บเล็ตต้องการแรมประมาณ 1GB เพื่อรันระบบของมัน ทีนี้เวลาเราเปิดแอปเฟสบุ๊คขึ้นมา แล้วเฟสบุ๊คก็อาจจะใช้แรมสัก 200-500MB เพื่อการใช้งานปกติของมัน เห็นไหมว่าแค่นี้ แรมก็ถูกใช้ไปแล้ว 1.2-1.5GB ทีนี้ถ้าแท็บเล็ตต้องเปิดหลาย ๆ แอปในคราวเดียวล่ะ รวมถึงมีโปรแกรมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอีกทั้งระบบแจ้งเตือน ระบบรักษาความปลอดภัย เป็นต้น และแม้ว่าจะปิดแอปหนึ่ง ไปเปิดอีกแอปหนึ่งแล้ว แต่แอปเดิมก็ยังรันอยู่เบื้องหลังเผื่อไว้ถ้าเรากลับมาใช้ มันจะได้โหลดขึ้นมาเร็ว ๆ ดังนั้น ขนาดแรมนี่ยิ่งต้องใช้เพิ่มมากเข้าไปอีก แน่นอนระบบแอนดรอยด์จะมีระบบบริหารจัดการแรมอยู่ แอปไหนไม่ใช้หรือแรมไม่เพียงพอ ข้อมูลเดิมก็จะถูกลบออกไป แท็บเล็ตที่มีแรมน้อย ๆ พอทำงานแล้วแรมไม่พอจริง ๆ ระบบก็จะเอาพื้นที่จัดเก็บข้อมูลถาวร (Internal Storage) มาใช้แทนทำให้ระบบทำงานไปได้แต่ก็จะช้ากว่าเดิมเยอะ ดังนั้น ถึงยังไงแรมเยอะก็ดีกว่าอยู่ดี ระบบมีพื้นที่สำรองเยอะ การทำงานก็จะเร็วตามไปด้วย นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมข้างต้นจึงแนะนำนักหนาว่าให้คุณเลือกซื้อแท็บเล็ตที่มีแรมเยอะ ๆ ไว้ก่อน แม้แต่แท็บเล็ตที่ใช้งานทั่วไป ใช้เรียน ใช้เล่นโซเชียล ดูหนัง ดูยูทูป ไม่รวมถึงเอาไปเล่นเกมส์นะ ปัจจุบันต้องใช้แรมสัก 4GB ก็เป็นขั้นต่ำแล้ว ต่ำกว่านี้แท็บเล็ตของคุณจะทำงานงานช้าอย่างน่ารำคาญเลยทีเดียว

แท็บเล็ต RAM 1GB, 2GB หลีกเลี่ยงไม่ควรซื้อ

แล้วเราควรซื้อแท็บเล็ตที่มี RAM เท่าไรดี ถ้าคุณเห็นแท็บเล็ตที่ขายตามแอปช้อปปิ้งออนไลน์ที่มีราคาเพียงพันหรือสองพันกว่าบาท ราคาถูกจริง แต่อย่าเพิ่งซื้อ ลองเข้าไปอ่านคำอธิบายสินค้าหรือว่าอ่านรีวิวก่อนสักนิด คุณจะพบว่าแท็บเล็ตราคาถูกเหล่านั้นให้ RAM มาน้อยมาก ๆ 1GB หรือ 2GB ขนาดเท่านี้ ใช้งานอะไรไม่ได้แล้วสำหรับแท็บเล็ตแอนดรอยด์ในปัจจุบัน สรุปก็คือ แท็บเล็ตยี่ห้อไหนรุ่นไหนที่ให้แรมมาแค่ 1GB หรือ 2GB ควรหลีกเลี่ยงไม่ควรซื้อ

แท็บเล็ต RAM 3GB รุ่นเก่า ราคาประหยัด

แท็บเล็ตราคาประหยัดราคาไม่เกินสามพันบาทที่มากับแรม 3GB ก็ยังพอใช้ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นเก่าแล้ว ถ้าหากวัตถุประสงค์ของคุณก็แค่ต้องการใช้งานแอปพื้นฐาน เช่น แชทไลน์ เข้าเฟสบุ๊ค ดูยูทูป เข้าเว็บไซต์ ทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ แรม 3GB ก็ยังพอไหว แต่คุณอาจจะต้องทำใจไว้หน่อยด้วย เพราะแรมน้อยแค่นี้ ไม่เหมาะกับการเปิดแอปสลับไปสลับมาเยอะ ๆ แล้วก็แท็บเล็ตราคาประหยัดพวกนี้ มักมากับกล้องที่ไม่ได้ละเอียดมากมายอะไร บางทีโทรศัพท์มือถือราคาพอ ๆ กัน อาจได้กล้องที่ละเอียดและชัดมากกว่าด้วยซ้ำ

แท็บเล็ต RAM 4GB รุ่นราคาประหยัด ใช้งานทั่วไป

ถ้าไม่ได้ใช้งานอะไรมาก เน้นประหยัดเงิน อาจจะเข้าข่ายในหัวข้อนี้ นั่นก็คือ แท็บเล็ตแรม 4GB เป็นขั้นต่ำที่แนะนำสำหรับการใช้งานส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง ดูยูทูธ เล่นไลน์ เล่นเฟสบุ๊ค เข้าเว็บไซต์ อ่านหนังสือ E-Book รวมถึงแม้กระทั่งใช้ประกอบการเรียนสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ยังได้สบาย ๆ คำแนะนำคือ ควรซื้อแท็บเล็ตที่มียี่ห้อน่าเชื่อถือ เช่น Lenovo, Xiaomi, Samsung, OPPO, Huawei, Realme เป็นต้น แท็บเล็ตยี่ห้อดัง ๆ เหล่านี้ ราคาอาจจะอยู่ที่ 5000 กว่าบาท แต่มาพร้อมกับความทนทานกว่ายี่ห้อโนเนมที่เน้นขายถูกกว่าแน่นอน รวมถึงการรับประกัน ถ้าเกิดเสียขึ้นมาก็ส่งเข้าศูนย์ซ่อมอย่างเป็นทางการของเค้าได้เลย อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคิดจะใช้แท็บเล็ตเพื่อเล่นเกมส์ แรม 4GB น่าจะไม่เพียงพอแล้ว สำหรับเกมส์มือถือในปัจจุบัน แนะนำให้หารุ่นแท็บเล็ตที่มีแรมอย่างน้อย 6GB ขึ้นไป รวมถึง CPU ดี ๆ แรง ๆ ด้วย

แท็บเล็ต RAM 6GB ระดับกลาง เน้นสเปคแรง ๆ เล่นเกมส์ได้

อันนี้แนะนำเป็นการส่วนตัวเลย สำหรับไม่อยากจ่ายเงินเป็นหมื่น แท็บเล็ตแรม 6GB เป็นรุ่นระดับกลาง ยี่ห้อดี ๆ ราคาไม่น่าเกินหมื่นบาท จ่ายแพงรุ่นประหยัดขึ้นมาหน่อยแต่เราจะได้เครื่องที่ทำงานเร็วไหลลื่นกว่ากันเยอะ เหมาะกับคนที่มีงบประมาณไม่เยอะนักและต้องการแท็บเล็ตระดับกลางที่ทำงานส่วนใหญ่ได้ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง ดูยูทูธ เล่นไลน์ เล่นเฟสบุ๊ค เข้าเว็บไซต์ อ่านหนังสือ E-Book ใช้ประกอบการเรียนสำหรับนักเรียนนักศึกษาก็ยังได้สบาย ๆ นอกจากนั้นก็ยังเหมาะกับเอาไปเล่นเกมส์มือถือต่าง ๆ ด้วย เพียงแต่ควรเลือกรุ่นที่ให้ซีพียูแรง ๆ หน่อย เช็คซีพียูก่อนว่ามีปัญหาเรื่องความร้อนหรือไม่ อ่านหรือดูรีวิวในยูทูธก่อนซื้อ เลือกซื้อแท็บเล็ตจากยี่ห้อยอดนิยมน่าเชื่อถือ เช่น Lenovo, Xiaomi, Samsung, OPPO, Huawei, Realme เป็นต้น เพราะมีข้อได้เปรียบเรื่องการรับประกัน ถ้าเกิดเสียขึ้นมาก็ส่งเข้าศูนย์ซ่อมอย่างเป็นทางการของเค้าได้เลย

แท็บเล็ตระดับกลางอีกกลุ่ม มากับยี่ห้อจากประเทศจีนที่ไม่ค่อยคุ้นหู เช่น Teclast, Alldocube, Blackview, Chuwi ก็มีแท็บเล็ตแรม 6GB หลายรุ่นน่าสนใจ อาจจะไม่ได้เป็น Global Brand ระดับโลก คนไทยเราอาจไม่ได้คุ้นเคยมากนักแต่ก็มีข้อดีคือ จัดสเปคแท็บเล็ตมาให้แบบจัดเต็มในราคาที่ถูกกว่าแบรนด์ชื่อดังอื่น ๆ เราจ่ายเงิน 6000 บาท อาจจะได้แท็บเล็ตสเปคเล่นเกมส์ได้สบายเลย มีปากกาให้อีก แถมยังใส่ซิมโทรออกได้อีก อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอดรับข้อด้อยเรื่องศูนย์ซ่อมในเมืองไทยอาจไม่มีหรือหายาก แม้ว่าผู้ขายจะการันตีเรื่องการรับประกัน แต่ต้องยอมรับว่ายังไงก็สู้แท็บเล็ตเครื่องศูนย์จากแบรนด์มือถือระดับโลกที่เค้าหันมาลุยตลาดแท็บเล็ตเช่นกันไม่ได้ ดังนั้น ก็เอาไว้เป็นอีกทางเลือกก็แล้วกัน แท็บเล็ตราคาถูก สเปคสูง แต่ศูนย์ซ่อมหายาก

แท็บเล็ต RAM 8GB, 12GB ระดับเรือธง

ถ้าคุณต้องการแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ครบทุกความสามารถ สามารถเทียบได้กับ iPad Pro แล้วล่ะก็ ต้องเลือกแท็บเล็ตรุ่นเรือธง ซึ่งตอนนี้เท่าที่เห็นที่สามารถไปวัดกับ iPad ได้ก็เห็นจะมีแต่ Samsung Galaxy Tab S Series เท่านั้น ถ้าเราไปดูสเปคของแท็บเล็ตเรือธงของ Samsung ตระกูล Tab S เหล่านี้ มันจะมากับแรมที่ค่อนข้างสูง 8GB สำหรับรุ่นเก่า รุ่นใหม่ปาเข้าไป 12GB เลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรเพราะเป็นระบบแอนดรอยด์และมีฟีเจอร์จัดเต็มขนาดนั้น นอกจากแรมเยอะ ซีพียูแรงจัดแล้ว สเปคอื่น ๆ ก็จัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ขนาดจอใหญ่กว่าแท็บเล็ตระดับกลางและล่างส่วนใหญ่ เป็นจอคุณภาพสูง อัตรารีเฟชรสูง กล้องละเอียดคมชัดสูงทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง มีปากกาให้ใช้ (ปากกาสำหรับใช้กับแท็บเล็ตจริง ๆ) (S Pen สำหรับ Samsung) ต่อคีย์บอร์ดเพื่อใช้แทนคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปได้สมบูรณ์แบบ เป็นต้น สรุปคือ ใครมีงบประมาณสัก 2-3 หมื่นบาท และอยากได้แท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ความสามารถเทียบเท่า iPad Pro ก็ต้องจัดแท็บเล็ตระดับเรือธงที่ตอนนี้ในท้องตลาดเห็นมีแต่ Samsung Galaxy ตระกูล Tab S เพียงเท่านั้น

ความต้องการ RAM ในการใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ

การเลือก RAM ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจาก RAM มีบทบาทในการประมวลผลข้อมูลชั่วคราวที่จำเป็นสำหรับการทำงานของโปรแกรมและระบบปฏิบัติการ อย่างเช่น

แอปพลิเคชันพื้นฐาน ความต้องการ RAM 4GB ตัวอย่างการใช้งานคือ การเข้าเว็บไซต์ผ่านบราวเซอร์ การอ่านอีเมล และการใช้งานแอปพลิเคชันสำนักงาน Microsoft Office ข้อจำกัด คืออาจไม่เพียงพอหากเปิดหลายแท็บในเบราว์เซอร์หรือใช้งานแอปพลิเคชันหนัก ๆ พร้อมกัน

แอปพลิเคชันมัลติมีเดีย ความต้องการ RAM 6GB - 8GB ตัวอย่างการใช้งานคือ การดูวิดีโอ HD การฟังเพลง และการใช้งานแอปพลิเคชันตัดต่อวิดีโอเบื้องต้น ข้อดีคือ RAM ที่มากขึ้นช่วยให้การประมวลผลข้อมูลราบรื่นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับไฟล์มีเดียขนาดใหญ่

เกมระดับกลาง ความต้องการ RAM 8GB ตัวอย่างการใช้งาน คือ การเล่นเกมที่มีกราฟิกระดับกลางถึงสูง เช่น เกมที่ต้องการการประมวลผลภาพกราฟิก ข้อดี คือ ช่วยให้การเล่นเกมมีความลื่นไหลและลดปัญหากระตุกขณะใช้งาน

แอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ความต้องการ RAM 12GB - 16GB ตัวอย่างการใช้งาน คือ การตัดต่อวิดีโอ 4K การทำงานกับกราฟิก 3D และการเล่นเกมระดับ AAA ข้อดี คือ รองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ดี เช่น การสตรีมวิดีโอขณะเล่นเกม

การใช้งานเชิงวิจัยหรือการพัฒนา ความต้องการ RAM 16GB ขึ้นไป ตัวอย่างการใช้งานคือ การใช้ซอฟต์แวร์วิจัย การจำลองข้อมูล หรือการพัฒนาแอปพลิเคชัน ข้อดีคือ RAM ที่สูงช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และทำงานหลายอย่างได้พร้อมกันโดยไม่เกิดปัญหาความช้า

อนาคตของ RAM ในแท็บเล็ต: จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

อนาคตมีแนวโน้มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้ อาทิเช่น ความจุที่เพิ่มขึ้น ในปัจจุบัน แท็บเล็ตรุ่นใหม่มักมี RAM ตั้งแต่ 4GB ขึ้นไป ในอนาคต RAM ในแท็บเล็ตจะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 8GB, 12GB หรือมากกว่า เพื่อรองรับการใช้งานที่ซับซ้อนขึ้น, เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น จะมีการพัฒนาเทคโนโลยี RAM ใหม่ ๆ เช่น LPDDR5 ที่มีความเร็วและประสิทธิภาพสูงขึ้น RAM จะมีความหนาแน่นมากขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง ทำให้แท็บเล็ตมีขนาดเล็กลงและอายุแบตเตอรี่ยาวนานขึ้น, การใช้งานที่หลากหลายขึ้น RAM จะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การเล่นเกม, การตัดต่อวิดีโอ และการใช้งานแอปพลิเคชันที่ต้องการทรัพยากรสูง จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดปัญหาการกระตุกในการใช้งานหลายอย่างพร้อมกัน

ความคิดเห็น