สิ่งที่ iPhone 13 ยังไม่มี แต่โทรศัพท์แอนดรอยด์มีมานานแล้ว

ถ้าคุณกำลังอยากได้มือถือเครื่องใหม่ จะเอาแบบเรือธงรุ่นท็อป ๆ สักเครื่อง iPhone 13 น่าจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของคุณอย่างแน่นอน ทาง Apple ได้ให้สิ่งใหม่ ๆ หลายอย่างให้กับมือถือรุ่นใหม่ของพวกเค้า ชิปตัวใหม่ที่แรงขึ้นก็อย่างหนึ่ง อีกอย่างก็แบตเตอรี่ที่ชาร์ทครั้งเดียวสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่ารุ่นก่อน ๆ หรือความจุที่ให้มากขึ้น เก็บภาพและคลิปวิดีโอได้เยอะขึ้น อันนี้ก็เพื่อตอบสนองต่อรูปแบบการใช้งานที่เปลี่ยนไป แต่มีสิ่งที่คุณควรจะรู้อยู่ว่าไอโฟน 13 นั้น ยังมีฟีเจอร์หลายอย่างที่อาจใช้คำว่าหายไป ในขณะที่ความสามารถพวกนี้โทรศัพท์ฝั่ง Android เช่น Samsung Galaxy S21 (เรือธงที่น่าจะสมน้ำสมเนื้อกับ iPhone 13 มากที่สุด) มีมาให้ใช้นานแล้ว

อย่างที่เด่น ๆ เลย ก็คือ ติ่งด้านบนจอ ที่มือถือแอนดรอยด์หลายรุ่นไม่มีกันแล้ว เป็นจอเต็ม ๆ อีกอย่างก็เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือถือบนหน้าจอ นี่ก็ไม่เห็นสักทีสำหรับฝั่งแอปเปิ้ล แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ ความสามารถอย่างการรองรับ 5G หน้าจอ OLED และกล้องโหมดถ่ายภาพกลางคืน ก็เพิ่งจะมีใน iPhone 11 และ iPhone 12 นี่เอง ในขณะที่แบรนด์อื่น ใส่มาให้ตั้งนานแล้ว

iPhone 13 ยังคงมีติ่ง เหมือนเดิม

ติ่ง ในที่นี้หมายถึง รอยบาก (Notch) บริเวณขอบจอด้านบน ใน iPhone 13 แม้ว่าติ่งจะลดขนาดลงกว่า iPhone 12 แต่ก็ยังไม่เอาออกไปสักที ในขณะที่โทรศัพท์แอนดรอยด์มากมายหลายรุ่นผู้ผลิตเค้าได้ออกแบบหน้าจอด้วยการซ่อนกล้องไว้ ทำให้เราแทบจะไม่เห็นกล้องหน้าของมือถืออีกต่อไป เรียกว่าเป็นหน้าจอแผ่นเดียว Seamless ไม่ต้องรอยแหว่งอีกต่อไปแล้ว เช่น Samsung Galaxy S21 ใช้วิธีมีรูกล้องเล็ก ๆ เพื่อวางกล้องบนหน้าจอด้านบน รูกล้องแบบนี้มีมาตั้งแต่ Galaxy S10 ตั้งแต่ 2 รุ่นก่อนแล้ว ซึ่งรูกล้องเล็ก ๆ บนหน้าจอแบบนี้ถูกใช้เช่นเดียวกันใน Google Pixel 5a และ OnePlus 9 ด้วยเช่นกัน

Content Cover

ทำไมไอโฟนต้องมีรอยบากอยู่ล่ะ?

คำถามต่อมาก็คือ ทำไมแอปเปิ้ลจึงไม่ตัดรอยบากออกไปสักที หรือไม่รอยบากก็ใหญ่กว่ามือถือซัมซุงและแอนดรอยด์รุ่นอื่น ... เท่าที่เค้าบอกมาก็เพราะว่า รอยบากของ iPhone นั้น ไม่ได้มีแต่กล้อง Selfie แต่ในนั้นมันมีเซนเซอร์มากกว่าหนึ่งตัวที่ใช้กับระบบ Face ID ของแอปเปิ้ล เพื่อการรู้จำหน้าของผู้ใช้งานเพื่อปลดล็อคเครื่อง ซึ่งเจ้า Face ID นี้ทางผู้ผลิตมั่นใจเหลือเกินว่าเทคโนโลยีนี้ล้ำกว่าคู่แข่งโดยเฉพาะด้านความปลอดภัย นั่นเอง

หน้าจอ ดูเวลา/แจ้งกิจกรรม แม้อยู่ในโหมด Sleep

นี่เป็นอีกสิ่งที่ iPhone 13 และรุ่นก่อนหน้ายังไม่มี คือเมื่อหน้าจอไอโฟนถูกปิด อยู่ในโหมด Sleep หน้าจอก็จะมืดดำ ๆ ไปเลย แต่ในมือถือแอนดรอยด์ทั้งหมดในปัจจุบันสามารถโชว์แสดงผลข้อมูลอย่างเวลาและปฏิทินกิจกรรมได้แม้ว่าหน้าจอยังถูกปิดได้ ไม่ว่าจะเป็น Samsung, OPPO, VIVO, Xiaomi ไม่ว่าจะแบรนด์ไหนล้วนทำแบบนี้ได้หมด ฟีเจอร์แบบนี้เป็นประโยชน์เมื่อคุณต้องการที่จะเช็คเวลาหรือดูกิจกรรมอย่างการนัดหมายล่าสุดของคุณโดยที่ไม่ต้องไปเปิดเครื่องขึ้นมาเลย

โทรศัพท์แอนดรอยด์สามารถชาร์จอุปกรณ์อื่นเพียงแค่แตะกัน

คนส่วนใหญ่ชอบชาร์ทโทรศัพท์เวลานอน พอถึงเช้าแบตก็เต็มพร้อมใช้ได้ทันทีเลย แต่ถ้าคุณมีสมาร์ทวอท์ชหรือพวกหูฟังไร้สาย คุณทำแบบนั้นไม่ได้แน่ อาจจะเจอปัญหาเรื่องแบตหมดขณะใช้งานระหว่างวันไปจนถึงลืมชาร์จแบตไว้ตอนกลางคืน ตื่นมาตอนเช้าจะหยิบไปใช้ก็ไม่พร้อมใช้งานซะแล้ว ทางออกคุณอาจจะเลือกพกเอาพาวเวอร์แบงก์ไปใช้ในที่ต่าง ๆ ก็ได้

แต่สำหรับผู้ใช้โทรศัพท์อย่าง Samsung Galaxy S21 หรือ Google Pixel 5 หรือรุ่นเก่าไปหน่อยอย่างพวก S20 และ S10 ก็ได้ มันมีฟีเจอร์เด็ด ๆ ที่สามารถช่วยในสถานการณ์แบบนี้ได้ ซัมซุงเรียกฟีเจอร์นี้ว่า Wireless Power Share ส่วนกูเกิ้ลเรียกฟีเจอร์แบบนี้ว่า Battery Share นี่ทำให้คุณสามารถใช้ด้านหลังของมือถือรุ่นเหล่านี้เป็นพาวเวอร์แบงก์ได้ โดยสามารถเอาอุปกรณ์พวกหูฟังและสมาร์ทวอท์ชมาแตะด้านหลังมือถือเพื่อชาร์จแบบไร้สายได้ ระบบพวกนี้จะรองรับมาตรฐาน Qi เป็นการชาร์จแบบไร้สายซึ่งพบได้ทั่วไปในมือถือและอุปกรณ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันแล้ว ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนทาง Apple จะไม่สนใจฟีเจอร์แบบนี้เท่าไรนัก เพราะที่แน่ ๆ iPhone 13 ไม่ได้ support เทคโนโลยีชาร์จที่สะดวกแบบนี้เอาไว้ แต่ในอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่ใช้หูฟัง AirPods ฟีเจอร์ชาร์จไร้สายด้านหลังจากไอโฟนเป็นอะไรที่ต้องการอย่างยิ่ง

ปลดล็อคเครื่องจากเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ

แน่นอนคนใช้ไอโฟนก็จะรู้สึกว่า Face ID ปลดล็อคด้วยใบหน้านั้นทำงานได้ดีอยู่แล้ว แต่ลองคิดดูในสถานการณ์ที่คุณกำลังใส่หน้าการอนามัยอยู่ล่ะ จะสแกนหน้าเรายังไง ถ้าคุณมี iPhone แต่ไม่มี Apple Watch นี่ก็ต้องเปิดหน้าสแกนกันเลยทีเดียว ก็อาจจะคิดถึง iPhone ที่มีปุ่ม Home สแกนนิ้วปุ่มปลดล็อคแบบวันเก่า ๆ บ้างล่ะ น่าเศร้าสำหรับผู้ใช้ iPhone 13 ที่ตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับคนใช้มือถือฝั่งแอนดรอยด์ อย่าง Samsung และ OnePlus ที่มีระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอได้เลย ถ้าเป็นซัมซุงพวกตระกูล Galaxy S นี่มีหมด (มีต้องแต่รุ่น S10 มาแล้ว) ในขณะที่อีกยี่ห้อก็มีในรุ่น OnePlus 9 และ OnePlus 9 Pro เป็นต้น

อะแดปเตอร์หนึ่งอันสามารถชาร์จได้ทั้งโทรศัพท์, Macbook และอุปกรณ์อื่น ๆ

iPhone 13 นั้นก็เป็นเหมือนไอโฟนรุ่นก่อนหน้าทุกรุ่นอย่างน้อยก็ตั้งแต่ iPhone 5 มาแล้ว ทางแอปเปิ้ลใช้พอร์ตไลนิ่ง (Lightning) สำหรับการชาร์จไฟ นอกจากนั้นยังสามารถชาร์จ iPhone 13 ผ่าน MagSafe หรือเลือกชาร์จแบบไร้สายผ่านอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน Qi ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณต้องการเสียบสายชาร์จ ยังไงก็ต้องผ่าน Lightning อยู่ดี

ในขณะที่ USB-C คือมาตรฐานการชาร์จที่อุปกรณ์แอนดรอยด์ใช้กันทั่วไปเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว Samsung, Xiaomi, OPPO, VIVO, Huawei ล้วนมากับสาย USB-C กันทั้งนั้น และถือเป็นมาตรฐานเดียวไม่ใช่เฉพาะโทรศัพท์มือถือแล้ว แต่เดียวนี้แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค และอุปกรณ์พกพาอื่น ๆ ที่ออกมารุ่นใหม่ ๆ ก็รองรับพอร์ตชนิดกันทั้งนั้น

มันน่าเสียดายที่ไอโฟนไม่รองรับพอร์ต USB-C แต่ว่ามาตรฐานนี้จะถูกใช้กับอุปกรณ์ของ Apple ตัวอื่น ๆ แล้วก็ตาม อย่าง iPad Air, iPad Pro, แล็ปท็อป Macbook และแม้แต่แท็บเล็ตที่กำลังจากกลายมาเป็นอุปกรณ์ยอดฮิตในไม่ช้าอย่าง New iPad Mini อุปกรณ์ที่กล่าวมาเหล่านี้ ล้วนใช้พอร์ตชาร์จแบบเดียวกันทั้งหมดนั่นก็คือ USB-C ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าทางแอปเปิ้ลจะเปลี่ยนมาใช้พอร์ตชนิดนี้เมื่อไร แต่ดูเหมือนว่าการ MagSafe น่าจะถูกพลัดดันมาก ๆ ในเวลานี้

content cover

iPhone 13 Pro Max 256GB Sierra Blue

จอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว Super Retina XDR display ชิป A15 Bionic เร็วสุดขั้ว เล่นวิดีโอ นานสูงสุด 28 ชั่วโมง โหมดภาพยนตร์ ชัดตื้นและสลับจุดโฟกัสโดยอัตโนมัติ กล้องระดับโปร กล้องเทเลโฟโต้, ไวด์ และอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12MP, กันน้ำ ความลึก 6 เมตร นานสูงสุด 30 นาที, แบตเตอรี่อึด เล่นวิดีโอ: สูงสุด 28 ชั่วโมง, การเล่นวิดีโอ (สตรีม): สูงสุด 25 ชั่วโมง, การเล่นเสียง: สูงสุด 95 ชั่วโมง ราคาประมาณ 29,900 บาท

check price เช็คราคาล่าสุดได้ที่นี่

check price เช็คราคาล่าสุดได้ที่นี่

ความคิดเห็น