จากงานเปิดตัว iPhone 13 แต่ดูเหมือนดาวเด่นดันตกไปอยู่ที่ iPad mini 6 แทน อาจจะเนื่องด้วย Apple ห่างหายจากรุ่นเดิมมากว่า 2 ปี คนก็เริ่มคิดโหยหาอะไรใหม่ ๆ กันมากขึ้น บวกกับสเปคได้รับการอัปเกรดให้ว้าวไปอีกระดับ ทำให้ได้รับความสนใจจากคนอยากได้อุปกรณ์จอใหญ่ที่ทำอะไรได้สบายตามากกว่าพวกโทรศัพท์มือถือเป็นไหน ๆ
ขนาดจอภาพไม่เล็กเกินไปอีกต่อไป
iPad mini 6 มีให้เลือก 4 สี ประกอบด้วย สีเทาสเปซเกรย์ ชมพู ม่วง และสีสตาร์ไลท์ (ประมาณสีน้ำตาลอ่อน ๆ) บอกเลยสวยกว่า iPad mini 5 มาก ๆ ที่มีเพียงสีเทา สีเงิน สีทอง เท่านั้น ใครที่ก่อนหน้านี้ไม่ชอบรุ่นมินิ ถึงขนาดไม่คิดจะซื้อเลย เพราะจอเล็กไป (7.9") พอมาเป็นรุ่นใหม่นี้ที่มาจอใหญ่ขึ้นอาจจะเปลี่ยนใจได้ เพราะ iPad min 6 มากับจอ Liquid Retina Display ขนาด 8.3" หน้าจอเต็มตามากขึ้นเพราะย้ายปุ่มโฮม (Touch ID) จากด้านล่างจอในรุ่นก่อนเอามาไว้บนขอบด้านบนแทนเป็นอันเดียวกันปุ่ม Power (เหมือนกับ iPad Air 4 เลย) ส่วนระบบเสียงก็ได้รับการปรับปรุงเป็นลำโพงสเตอริโอแนวนอน
เร็วและแรง ทีเด็ดอยู่ที่ชิปประมวลผล ดีตรงนี้แหละ
สิ่งที่คนให้ความสนใจ iPad min 6 นี้มาก ๆ สาเหตุหลักน่าจะมาจากชิปของมันนี่แหละ เพราะรุ่นนี้ใช้ชิป A15 Bionic ใหม่ เป็นชิปตัวเดียวกับ iPhone 13 เลย (รู้แล้วล่ะสิทำไมถึงว้าว) ซึ่งถ้ามองให้ลึกไป ชิป A15 Bionic มีซีพียูแบบ 6 Cores ทำให้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 40% และชิปประมวลผลกราฟฟิก GPU แบบ 5 Cores ได้ภาพสวยกว่าเดิมมาก ๆ ถึง 80% เมื่อเทียบกับรุ่นมินิก่อนหน้า นี่เท่ากับอะไร นี่เท่ากับว่า เราสามารถเล่นเกมส์ที่ต้องการกราฟฟิกหนัก ๆ ได้สบาย แถมยังเอาไปทำงานที่ต้องใช้แอประดับโปร อย่างพวกแอปด้านดีไซน์กราฟฟิกต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
รองรับ 5G
การรองรับเครือข่าย 5G ถือเป็นมาตรฐานไปแล้วสำหรับอุปกรณ์รุ่นใหม่ ๆ ของ Apple ที่เปิดตัวมา ซึ่ง iPad min 6 นี้ ก็รองรับ 5G สำหรับรุ่น Wi-Fi+Cellular ผู้ใช้งานจะได้สัมผัสกับความเร็วเน็ตที่แรงแบบเหลือเชื่อชนิดที่ว่าไม่เคยเจอมาก่อน ต่างจาก 4G โดยสิ้นเชิง

iPad Mini 6 (2021) Wi-Fi 64GB 8.3 inch Pink
จอภาพ Liquid Retina ขนาด 8.3 นิ้ว, ชิป A15 Bionic พร้อม Neural Engine, Touch ID เพื่อการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย, กล้องหลังไวด์ ความละเอียด 12MP, กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP, ลำโพงสเตอริโอแนวนอน ราคาประมาณ 19,900 บาท
ชาร์จด้วยพอร์ต USB-C
ลาก่อนสาย Lighting เพราะ iPad min 6 มากับช่องเสียบชาร์จและเชื่อมต่อแบบพอร์ต USB-C (ทำความเร็วได้สูงสุด 5GBit/s ถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 10 เท่า) ทำให้มีความอเนกประสงค์และยื่นหยุ่นในการใช้งานมากกว่า หาอุปกรณ์เสริมทั้งที่เป็นของ Apple เอง หรือของค่ายอื่น มาเชื่อมต่อได้หลากหลายกว่ามาก เช่น อะแดปเตอร์แปลงไฟ คีย์บอร์ด กล้องถ่ายรูป เป็นต้น ทั้งนี้ไอแพดรุ่นนี้ ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5mm อีกต่อไปแล้วนะ
กล้องที่ชัดกว่าเดิม
ทีนี้มาดูเรื่องกล้องกันต่อ iPad mini 6 มากับกล้องหลัง ความละเอียด 12MP พร้อม Focus Pixels และรูรับแสง (Aperture) ที่ใหญ่กว่าเดิม f/1.8 มีแฟลชแบบ True Tone ทำให้ถ่ายภาพสวย ๆ ได้ทุกสิ่งแวดล้อม ส่วนกล้องหน้าก็ดีไม่แพ้กันคือมากับความละเอียด 12MP แบบ Ultra Wide กับการฟีเจอร์เด็ดอีกแล้ว นั่นก็คือ เทคโนโลยี Center Stage เหมือนกับของ iPad Pro 2021 ที่เพิ่งเปิดตัวก่อนหน้าเลย ทั้งนี้ Center Stage เป็นระบบที่กล้องสามารถแพนตามการเคลื่อนไหวของเราได้อัตโนมัติ ทำให้เราอยู่กลางเฟรมเสมอ เหมาะกับงานด้าน Presentation การอธิบายหน้าชั้นเรียนหรือห้องประชุม ใช้ได้กับทั้งแอป Facetime, TikTok รวมถึงแอปประชุมออนไลน์อื่นได้ เช่น Zoom เป็นต้น นอกจากนั้น iPad mini 6 ยังสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียดระดับ 4K ได้ด้วย และสามารถเอาไปตัดต่อในเครื่องได้เลย
น่าซื้อกว่าเพราะ iPad mini 6 ราคาถูกกว่า+สเปคบางอย่างเหนือกว่า iPad Air 4
เอาจริง ๆ ถ้าเทียบเรื่องสเปคบางอย่างของ iPad mini 6 ก็จะเหมือนกับ iPad Air 4 แต่บางอย่างดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าเลยนะ โดยเฉพาะเรื่องชิป แต่เนื่องจากจอ mini 6 เล็กกว่า ราคาก็เลยถูกกว่า Air 4 อยู่หลัก 1,000 - 2,000 บาท ทั้งรุ่นความจุ 64GB และ 256GB ดังนั้น ใครอยากได้แท็บเล็ตจอเล็กที่พกพาสะดวกกว่า เห็นทีรุ่นนี้คุ้มค่ากว่าจริง ๆ
ใช้กับ Apple Pencil 2 ได้
ใครที่ชอบขีด ๆ เขียน ๆ วาดรูป ก็ต้องจัดปากกามาใช้คู่กับ iPad mini 6 ด้วย แต่อันนี้เป็นอุปกรณ์เสริมที่ต้องจ่ายเงินซื้อเพิ่มนะ ไม่ได้แถมมาให้ ของดีของ Apple Pencil 2 ก็คือเรื่องการชาร์จที่ง่ายกว่า คือแค่แปะปากกาไว้ที่ด้านข้างของไอแพด ตัวเครื่องก็จะดูดปากกาให้ยึดติดไว้ด้วยแม่เหล็ก แค่นี้ก็ชาร์จได้แล้ว สะดวกกว่า Pencil รุ่น 1 มาก ๆ เรื่องแม่เหล็กขึ้นที่ขอบนี้มองอีกแค่ก็เป็นการช่วยป้องกันการทำปากกาหายได้ในระดับหนึ่งด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น