Xiaomi หนึ่งในแบรนด์สมาร์ทโฟนชั้นนำของโลก ได้เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดอย่าง Redmi Note 13 Series ในประเทศไทย ซีรีส์นี้ประกอบด้วยสามรุ่น: Redmi Note 13, Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 Pro+ 5G แต่ละรุ่นมีสเปค คุณสมบัติ และประสิทธิภาพที่แตกต่างกันไปในราคาระดับกลางแต่ไม่เท่ากัน เพื่อรองรับกลุ่มตลาดที่แตกต่างกัน ในบทความนี้ เราจะเปรียบเทียบทั้งสามรุ่นและช่วยคุณตัดสินใจว่าได้ว่าจะเลือกรุ่นใดดีสำหรับคุณมากที่สุด รวมถึงเราจะเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียให้คุณดูด้วยว่ามีอะไรที่ต้องรู้บ้าง
Redmi Note 13 Series เป็นตระกูลมือถือที่พัฒนาต่อจาก Redmi Note 12 Series ตระกูลมือถือยอดนิยมซึ่งเปิดตัวในปี 2022 ซีรีส์ใหม่นี้มีการอัปเกรดและปรับปรุงที่สำคัญบางอย่างจากรุ่นก่อนหน้า เช่น จอแสดงผลที่มีความละเอียดสูงกว่า กล้อง และแบตเตอรี่ ระบบชาร์จที่เร็วขึ้น และความเร็วในการประมวลผลที่แรงกว่าเดิม และการเชื่อมต่อ 5G ที่มือถือรุ่นใหม่ควรมี ซีรีส์นี้ยังมีการออกแบบที่ทันสมัยและดูหรูหรา พร้อมด้วยตัวเลือกสีที่หลากหลาย
Redmi Note 13 Series คาดว่าจะแข่งขันกับสมาร์ทโฟนระดับกลางและรุ่นพรีเมียมอื่นๆ ในตลาด เช่น Samsung Galaxy A52, OnePlus Nord 2 และ iPhone 13 อย่างไรก็ตาม Xiaomi ขึ้นชื่อเรื่องมือถือสเปคแรงแต่ราคาไม่แพงอยู่แล้ว และ Redmi Note 13 Series ก็ต้องเป็นอย่างนั้นด้วย ซีรีส์นี้มีราคาเริ่มต้นที่ 6,999 บาท สำหรับ Redmi Note 13 และสูงสุด 15,990 บาท สำหรับ Redmi Note 13 Pro+ 5G ทำให้เป็นหนึ่งในซีรีส์โทรศัพท์มือถือที่คุ้มค่าเงินที่สุดในตลาด
หากคุณสนใจที่จะซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่อยู่ Redmi Note 13 Series เครื่องใดเครื่องหนึ่ง อาจเป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณามากๆ แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ เรามาดูกันก่อนว่าข้อดีและข้อเสียของแต่ละรุ่นในละเอียดว่าเป็นอย่างไร
Redmi Note 13
โทรศัพท์มือถือรุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในซีรีส์นี้สำหรับคนอยากได้ของถูกแต่สเปคดี โดยราคาเริ่มต้นที่ 6,999 บาท สำหรับรุ่น 6GB/128GB มีหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรช 120Hz ความสว่าง 1,000 nits, ชิปเซ็ต Snapdragon 685, GPU Mali G57, แบตเตอรี่ 5,000mAh พร้อมการชาร์จเร็ว 33W, กล้องหลัก 108MP F/1.65 F/1.7, กล้อง Macro 2MP, กล้องเซลฟี่ 16MP เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างและสแกนใบหน้า, รองรับ 2 ซิม, การ์ด microSD, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. และ Bluetooth 5.3 ระบบเสียงทั้งด้านบนและล่าง มาตรฐานกันน้ำ IP54 มีสีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Moonlight White, Aurora Purple
สรุปข้อดีและข้อเสียของ Redmi Note 13
- ข้อดี:
- ราคาถูกที่สุดในตระกูล
- ได้จอแสดงผลอัตราการรีเฟรชสูง
- ความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
- ได้กล้องหลักความละเอียดสูง (108MP)
- ข้อเสีย:
- ไม่รองรับการเชื่อมต่อ 5G
- ไม่มีลำโพงสเตอริโอ Dolby Vision
- น้ำหนักที่มากไปหน่อย (188.5 กรัม)
- ระดับความสว่างของจอกลางๆ เท่านั้น
Redmi Note 13
จอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ชิปเซ็ต Snapdragon 685, GPU Mali G57, แบตเตอรี่ 5,000mAh พร้อมการชาร์จเร็ว 33W, กล้องหลัก 108MP F/1.65 F/1.7, กล้อง Macro 2MP, กล้องเซลฟี่ 16MP ...

Redmi Note 13 5G
โทรศัพท์รุ่นนี้เป็นตัวเลือกระดับกลางของซีรีส์ ราคาเริ่มต้นที่ 7,999 บาท สำหรับรุ่น 8GB/256GB และ 9,999 บาท สำหรับรุ่น 12GB+512GB, มีจอแสดงผล AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรชที่ปรับได้ 120Hz ความสว่าง 1,000 nits, ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6080, GPU Mali G57, แบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมชาร์จเร็ว 33W, กล้องหลัก 108MP F/1.7, กล้อง Macro 2MP, กล้องเซลฟี่ 16MP เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านข้างและสแกนใบหน้า รองรับซิมคู่, การ์ด microSD, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., Bluetooth 5.3 และการเชื่อมต่อ 5G มาตรฐานกันน้ำ IP54 มีสีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Graphite Black, Ocean Teal, Arctic White
สรุปข้อดีและข้อเสียของ Redmi Note 13 5G
- ข้อดี:
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G
- ได้จอแสดงผลอัตราการรีเฟรชสูง
- ความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
- ได้กล้องหลักความละเอียดสูง (108MP)
- น้ำหนักเบาลงเล็กน้อย (174.9 กรัม)
- ข้อเสีย:
- ราคาระดับกลางแต่ก็สูงไปนิด
- ไม่รองรับ Dolby Vision ระบบเสียงเฉพาะด้านล่าง
- ระดับความสว่างของจอกลางๆ เท่านั้น
Redmi Note 13 5G
จอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6080, GPU Mali G57, แบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมชาร์จเร็ว 33W, กล้องหลัก 108MP F/1.7, กล้อง Macro 2MP, กล้องเซลฟี่ 16MP ...

Redmi Note 13 Pro+ 5G
นี่เป็นโทรศัพท์มือถือตัวเลือกระดับพรีเมียมที่แรงที่สุดในซีรีส์นี้ ราคาเริ่มต้นที่ 13,999 บาท สำหรับรุ่น 8GB/256GB และ 15,999 บาท สำหรับรุ่น 12GB/512GB, มีหน้าจอ CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรชที่ปรับได้ 120Hz ความสว่าง 1,800 nits + สูงที่สุดในตระกูล, ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7200, GPU Mali G610 MC4, แบตเตอรี่ 5000mAh พร้อมการชาร์จเร็ว 120W, กล้องหลัก 200MP F/1.65, กล้องมุมกว้าง 8MP กล้อง Macro 2MP, กล้องเซลฟี่ 16MP และเครื่องสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอและสแกนใบหน้า รองรับซิมคู่, ไม่สามารถเพิ่มความจำได้, ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม., Bluetooth 5.3 และการเชื่อมต่อ 5G นอกจากนี้ยังมีการป้องกัน Corning Gorilla Victus, กันน้ำและฝุ่น IP68 และรองรับระบบเสียง Dolby Vision ด้านบนและล่าง, มีสีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Midnight Black, Moonlight White, Aurora Purple
สรุปข้อดีและข้อเสียของ Redmi Note 13 Pro+ 5G
- ข้อดี:
- รองรับการเชื่อมต่อ 5G
- จอแสดงผลความละเอียดสูง
- ความสว่างจอสูงที่สุดในตระกูล
- ได้ชาร์จเร็วสูงที่สุด 120W
- กล้องหลักที่มีความละเอียดสูงสุดมากๆ
- กระจกกอริลลาป้องกัน Victus
- ทนน้ำและฝุ่นระดับ IP68 มาตรฐานสูงสุดในตระกูล
- รองรับระบบเสียง Dolby Vision
- ข้อเสีย:
- ราคาแพงไปหน่อย
- น้ำหนักตัวเครื่อง หนักที่สุดในตระกูล (204.5 กรัม)
- แม้ว่ารุ่นนี้ราคาจะสูง แต่ให้แบตความจุเท่าๆ กับรุ่นอื่น
- ไม่สามารถเพิ่มความจำได้
Redmi Note 13 Pro+ 5G
หน้าจอ CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว พร้อมอัตราการรีเฟรชที่ปรับได้ 120Hz ความสว่าง 1,800 nits + สูงที่สุดในตระกูล, ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7200, GPU Mali G610 MC4 กล้องหลัก 200MP F/1.65, กล้องมุมกว้าง 8MP กล้อง Macro 2MP, กล้องเซลฟี่ 16MP ...

Redmi Note 13 series มีตัวเลือกที่เป็นรุ่นย่อยแตกต่างกัน สำหรับคนที่มีงบประมาณและความชอบที่แตกต่างกัน Redmi Note 13 เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่กำลังหามือถือราคาประหยัดที่มีหน้าจอสวย รีเฟรชเรทสูง กล้องดี และประสิทธิภาพระดับกลางๆ พอใช้ได้แต่ไม่ได้ต้องแรงอะไร, ส่วน Redmi Note 13 5G เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟน 5G ที่มีจอสวย รีเฟรชเรทสูง กล้องดี และประสิทธิภาพระดับกลาง, ตัวสุดท้าย Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นตัวท็อปที่สุดของตระกูลนี้ มากับสเปคจัดเต็ม ตัวแต่ชิปเซ็ตตัวแรง จอดี กันน้ำกันฝุ่นมาตรฐานสูงกว่าใคร รองรับระบบเสียงสตูดีโอ อย่างไรก็ตาม ไม่มีโทรศัพท์มือถือรุ่นใดที่สมบูรณ์แบบ ทั้งหมดมีข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นไปได้ที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจในการซื้อของคุณ ท้ายที่สุดคุณควรเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับความต้องการ ราคาที่รับได้ และความชอบส่วนตัวของคุณมากที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น