Xiaomi 14 มือถือที่ดีทุกด้าน ชิปแรง สรุปข้อดีและข้อเสีย

หนึ่งในสมาร์ทโฟนเรือธงที่น่าจับตามองในปีนี้ ก็คือ Xiaomi 14 แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่กว่า iPhone 15 และ Samsung Galaxy S24 เล็กน้อย โทรศัพท์เรือธงรุ่นนี้มาพร้อมชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 3 ซึ่งเป็นชิปประสิทธิภาพสูงสุดจาก Qualcomm, ระบบกล้องที่พัฒนาร่วมกับ Leica และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่พร้อมการชาร์จไว 90W ที่น่าประทับใจ ซึ่งตอนนี้ Xiaomi เป็นผู้นำสมาร์ทโฟนที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 3 ด้วยการเปิดตัวซีรีส์ Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ในตลาดโลก โดยที่ Xiaomi 14 Pro จะไม่มีการวางขายนอกประเทศจีน แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าเสียดายมากนัก เพราะทั้งสองรุ่นที่มีอยู่ก็จัดหนักจัดเต็มมากอยู่แล้ว ในบทความนี้ ผมจะมารีวิวลงรายละเอียดของโทรศัพท์มือถือตัวท็อปรุ่นนี้ให้คุณได้อ่านกัน พร้อมสรุปข้อดีและข้อเสียมาให้ด้วย ถ้าชอบบทความนี้กรุณาช่วยแชร์ด้วยครับ

ข้อดีและข้อเสียของ Xiaomi 14

  • ข้อดี
    • จอแสดงผลดีมากๆ
    • กล้องดีมากๆ สุดยอด
    • เครื่องทำงานเร็ว แรง สูงสุด
    • ชาร์จเร็วสุด ๆ
  • ข้อเสีย
    • ฟีเจอร์ AI สามารถเข้าถึงได้เฉพาะในรุ่นเบต้าเมื่อเปิดตัวเท่านั้น (อนาคตน่าจะมีการอัปเดต ใช้ได้ทุกเครื่อง)
    • ฟีเจอร์ HyperOS มีมากมายจนล้นหลามมากเกินไปจนน่ารำคาญ
    • มีราคาแพงกว่าคู่แข่งบางราย

Content Cover

รีวิว Xiaomi 14

เริ่มต้นที่รูปลักษณ์ภายนอกกันก่อน ซึ่งถือเป็นสิ่งแรกที่คุณจะได้เห็น จะชอบไม่ชอบบางคนก็ตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอกเลยก็ได้ Xiaomi 14 มีความคล้ายคลึงกับ Xiaomi 13 ค่อนข้างมาก ทั้งสองรุ่นมีกล้องหลักขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยม และมีขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงกัน โดยที่น้ำหนักของรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากระบบกล้องหลังใหญ่ขึ้นและแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่า ฝีมือการประกอบตัวเครื่องของ Xiaomi อยู่ในระดับสูง แต่ดีไซน์ตัวเครื่องที่เป็นทรงมนมีขอบสี่ด้านและผิวเงาวาวนั้นอาจไม่ตรงรสนิยมบางคน

หน้าจอ 6.36 นิ้วของ Xiaomi 14 ได้รับการอัปเกรดอย่างน่าพอใจ มีความละเอียดที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน และเปลี่ยนมาใช้จอแบบ LTPO ที่สามารถปรับอัตราการรีเฟรชได้ตั้งแต่ 1 ถึง 120 เฮิรตซ์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน หน้าจอรุ่นนี้สว่างกว่าที่ Apple และ Samsung มอบให้บนสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดอีกด้วย นี่เป็นครั้งที่ 5 ที่ Xiaomi ร่วมมือกับ Leica บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพ สำหรับสมาร์ทโฟนเรือธง (นับรวมการอัปเดตกลางปี) ประสบการณ์การถ่ายภาพยังคงคล้ายกับรุ่นก่อน รวมถึงโหมดสีของ Leica แต่ฮาร์ดแวร์ถ่ายภาพได้รับการอัปเกรดอย่างมาก มีเซนเซอร์หลัก 50MP เปิดรับแสงกว้างขึ้น ประกบด้วยเซนเซอร์ 50MP อีก 2 ตัว (กล้องถ่ายกว้างและซูม 3.2 เท่า) ช่วยให้ภาพมีรายละเอียด, ไดนามิกเรนจ์ และการถ่ายทอดสีดีขึ้น

โดยไม่ต้องเปิดโหมด 'ประสิทธิภาพสูง' ผลทดสอบประสิทธิภาพบน Xiaomi 14 ก็ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มแอนดรอยด์ปัจจุบันแล้ว แปลเป็นประสิทธิภาพใช้งานโดยรวมที่ยอดเยี่ยม ทั้งการมัลติทาสก์และเล่นเกม แม้ Xiaomi 14 จะมีซอฟต์แวร์ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ประสบการณ์ผู้ใช้บนระบบปฏิบัติการ HyperOS ก็ยังคงมีข้อผิดพลาดบางประการ ซึ่งผู้ใช้ใหม่หรือผู้ใช้เก่าบางรายอาจสับสนในบางการใช้งานหรือการค้นหาฟีเจอร์บางอย่าง

ในปี 2024 นี้ โทรศัพท์มือถือซีรีส์ Xiaomi 14 ยังนำเสนอฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การสร้างรูปพอร์ตเรตด้วย AI ไปจนถึงการค้นหาเชิงความหมายในแกลเลอรี่ภาพ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เขียนรีวิวนี้ ฟีเจอร์พวกนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ ผู้ใช้จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากผู้ดูแล Xiaomi Community ก่อนจึงจะสามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ได้ ซึ่งหมายความว่าส่วนใหญ่จะไม่สามารถใช้งานได้ในตอนแรกเปิดตัว

ส่วนเรื่องระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ถือเป็นจุดเด่นของ Xiaomi 14 แม้จะมาพร้อมประสิทธิภาพโดดเด่น แต่ความจุแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นทำให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้สามารถใช้งานได้นานกว่า Samsung Galaxy S24 ในแง่ของเวลาการใช้งานหน้าจอ และรวดเร็วกว่าคู่แข่งรายอื่นในด้านเวลาชาร์จไฟเต็ม ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แม้จุดเริ่มต้นของราคา Xiaomi 14 จะสูงกว่าคู่แข่งอย่าง iPhone 15 และ Galaxy S24 แต่ก็มาพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลสองเท่า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่มีหน่วยความจำขนาด 256GB แล้ว Xiaomi 14 จะมีความคุ้มค่ามากที่สุด

ชิปเซ็ตตัวใหม่ล่าสุด

ทุกครั้งที่ Qualcomm ประกาศเปิดตัวชิปเซ็ตมือถือรุ่นท็อปรุ่นใหม่ ผมมักสนใจว่าค่ายสมาร์ทโฟนรายใดจะเป็นผู้นำในการนำชิปตัวล่าสุดนี้ไปใช้งานก่อน สำหรับ Snapdragon 8 Gen 3 ปรากฏว่า Xiaomi เป็นผู้เปิดวงการด้วยการเปิดตัว Xiaomi 14 และ 14 Pro ในจีนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเรือธงรุ่นก่อนหน้า ผู้ใช้ต่างประเทศต้องรอเข้าคิวหลังจากนั้น ต้องรอจนถึงงานเปิดตัวที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ก่อนจะมีข้อมูลการวางจำหน่ายซีรีส์ 14 ในตลาดโลกชัดเจน ในงานครั้งนี้เอง Xiaomi ก็ประกาศการวางขายสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ครอบคลุมหลายตลาด รวมถึงสหราชอาณาจักรและยุโรป

Xiaomi 14 Pro จำกัดการจำหน่ายเฉพาะในประเทศจีน แต่สเปกและฟีเจอร์ของ 14 และ 14 Pro มีความแตกต่างน้อยกว่ารุ่นก่อนคือ 13 ซีรีส์มาก การขาด 14 Pro ในตลาดโลกจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก ยิ่งมี 14 Ultra มาเป็นทางเลือกด้วยแล้ว ทว่าแม้จะใช้คำว่า Global หรือ International ในการประกาศเปิดตัวเดือนกุมภาพันธ์ แต่ Xiaomi ก็ยังไม่มีธุรกิจสมาร์ทโฟนในสหรัฐและออสเตรเลีย มีเพียงสินค้าไลฟ์สไตล์และอุปกรณ์อัจฉริยะ นอกจากนำเข้าหรือหาซื้อจากผู้ค้ารายย่อยแล้ว คนในประเทศเหล่านี้จึงไม่สามารถหา Xiaomi 14 ได้โดยง่าย รวมถึงอาจต้องคำนึงถึงการรองรับคลื่นสัญญาณในพื้นที่ด้วย ส่วนในไทย ก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะตอนนี้คนไทยสามารถซื้อได้ทั้ง Xiaomi 14 และ Xiaomi 14 Ultra ตัวเป็นได้แล้วตอนนี้ หรือแม้กระทั่งจะเลือกผ่อนจ่าย 0% ก็ยังได้เลย

การออกแบบ

แฟนๆ ของ Xiaomi 13 คงชื่นชอบกับสิ่งที่ Xiaomi ได้ทำ หรือกลับกันก็อาจเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำกับดีไซน์บนรุ่นต่อยอดอย่าง Xiaomi 14 นั่นเอง ภาพรวมของทั้งสองรุ่นมีความคล้ายคลึงกันมาก แม้ว่ารุ่นใหม่จะมีตัวเครื่องแข็งแรงกว่าด้วยกระจกกันรอยแบบ Gorilla Glass Victus และมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 แต่ขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่องก็ยังคงเดิม มีเพียงส่วนของระบบกล้องหลักและขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นนิดหน่อย จึงทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่กี่กรัม

เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งกระแสหลักอย่างไอโฟนและซัมซุง สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของ Xiaomi มีความหนาและน้ำหนักมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่ากะทัดรัดและใช้งานสะดวกพอที่จะจัดอยู่ในกลุ่ม แฟลกชิปขนาดกระทัดรัด ซึ่งแม้ว่าซีรีส์ iPhone 15 จะเลือกใช้ดีไซน์ขอบด้านข้างที่มนมนมากขึ้นในรุ่นนี้ แต่ Xiaomi 14 กลับยังคงรูปร่างสี่เหลี่ยมแบบเดียวกับ iPhone 14 Pro และมีตัวเครื่องอลูมิเนียมแบบขัดเงา ซึ่งถูกใจหรือไม่นั้นก็แล้วแต่รสนิยมของผู้ใช้แต่ละคน ตัวผมชอบลุคนี้แต่ไม่ชอบรอยนิ้วมือที่ติดบนตัวเครื่อง

Xiaomi 14 สีเขียวหยก เป็นสีที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาตัวเลือกสำหรับรุ่น Global ในขณะที่รุ่นสีขาวมีกรอบสีเงินดูสุภาพ และรุ่นสีดำมีหลังแบบพื้นผิวด้านเพื่อลดรอยนิ้วมือ แต่อาจจับถนัดน้อยกว่าแบบขัดเงาเล็กน้อย ทั้งนี้ มีเพียงสีภูเขาหิมะชมพู (Snow Mountain Pink) ที่ขายในจีนที่ขาดหายไปจากตลาดสากลรวมถึงตลาดเมืองไทย แม้จะมีความคล้ายกับรุ่นก่อน แต่จุดสนใจของ Xiaomi 14 อยู่ที่กล้องหลักขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งทาง Xiaomi ตั้งชื่อแบบลวดลายเป็น Clous de Paris ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับด้านหลัง แม้จะไม่ใช่เพียงแบรนด์เดียวที่ได้แรงบันดาลใจจากดีไซน์นาฬิกาไขลานในอดีต แต่การตกแต่งดังกล่าวนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมไม่คาดคิดว่าจะเห็นบนสมาร์ทโฟน และยังเป็นเอกลักษณ์เชื่อมโยงกับนาฬิกา Xiaomi Watch S3 ที่เพิ่งเปิดตัวไปด้วย

จอแสดงผลของ Xiaomi 14

หน้าจอ AMOLED แบนขนาด 6.36 นิ้วซึ่งเป็นหน้าจอแบบ 'CrystalRes' C8 ของ Xiaomi 14 นั้นเป็นจอดีไซน์ใหม่ของบริษัท (ผลิตโดย TCL) ที่ได้รับการปรับปรุงในทุกด้านให้ดีกว่าจอขนาดเดียวกันบน Xiaomi 13 และสามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในปี 2024 ได้เป็นอย่างดี ประการแรกจอของ Xiaomi 14 มีความละเอียดสูงกว่ารุ่นก่อน ด้วยความละเอียด 1200 x 2670 พิกเซล ที่ความหนาแน่นพิกเซล 460 ppi ซึ่งคมชัดเทียบเท่ากับจอ Super Retina XDR OLED บนไอโฟน 15 นอกจากนี้ยังมีความสว่างสูงสุดถึง 3,000 นิต รองรับมาตรฐาน Dolby Vision และ HDR10+ ตลอดจนมีความสว่างทั้งแผงอยู่ที่ 1,400 นิต ทำให้หน้าจอยังคงมองเห็นได้ชัดเจนแม้ในแสงสว่างนอกอาคาร

สิ่งที่ดีไปอีกก็คือ การใช้จอแบบ LTPO ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เนื่องจากสามารถปรับอัตราการรีเฟรชได้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 1-120 เฮิรตซ์ ตามการใช้งานของผู้ใช้ ซึ่งจอของ 13 สามารถสลับเพียง 60/90/120 เฮิรตซ์เท่านั้น จอของ Xiaomi 14 มีคุณภาพภาพที่น่าประทับใจในการดูรูปภาพ วิดีโอสตรีมมิง และการเล่นเกม โดย Xiaomi ได้เป็นตัวเลือกการปรับแต่งจอมากมาย โดยค่าเริ่มต้นคือ 'Original Color Pro' แต่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเป็นโปรไฟล์สีอื่นๆ เช่น Vivid และ Saturated หรือบังคับให้จอแสดงผลตามมาตรฐาน DCI-P3 หรือ sRGB นอกจากนี้ยังมีสไลเดอร์ปรับค่า RGB, Hue, สี, คอนทราสต์ และแกมมา

นอกเหนือจากตัวเลือกการปรับแต่งหน้าจอด้านบนแล้ว ยังมีตัวเลือกอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ การปรับอุณหภูมิสี, เปิดใช้งานการปรับอุณหภูมิสีตามแสงแวดล้อม, เปิดโหมด DC Dimming เพื่อการมองที่สบายตาในที่แสงน้อย, เลือกโหมดอ่านหนังสือหลายรูปแบบ, เพิ่มการปรับพื้นผิวและอุณหภูมิสีในโหมดเกรยส์เกล, รวมถึงใช้ AI เพิ่มคุณภาพวิดีโอ, ปรับปรุงภาพในแกลเลอรี, เพิ่มการแสดงผล HDR บนคอนเทนต์ SDR และเพิ่มเฟรมเพื่อการเล่นวิดีโอที่ราบรื่น

ระบบปฏิบัติการและซอฟท์แวร์ของ Xiaomi 14

MIUI ได้ถูกแทนที่ด้วย HyperOS ซึ่งเป็นประสบการณ์ผู้ใช้รุ่นใหม่ที่ถูกนำมาใช้งานบนซีรีส์ Xiaomi 14 หากดูจากงานเปิดตัว คุณอาจคิดว่า HyperOS เป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด แต่จากการใช้งานจริงคุณอาจต้องจ้องจับผิดก่อนจะพบความแตกต่างที่สำคัญจาก MIUI ทั้งนี้ Xiaomi ระบุว่า HyperOS ได้รับแรงบันดาลใจจากปรัชญา 'Alive' ซึ่งเสนอการเรนเดอร์แบบเรียลไทม์สำหรับรายละเอียดบางอย่างบนกราฟิก รวมถึงมีการเลือกใช้พาเลทสีจากโทนธรรมชาติ แม้จะคล่องแคล่วและตอบสนองได้อย่างราบรื่นกว่าแล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์และรู้สึกทั่วไปที่ยังคงความเป็น MIUI อยู่

อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพในเรื่องเวลาโหลดและภาพเคลื่อนไหวนั้นอาจเป็นเพราะ Xiaomi ได้สร้างระบบ HyperOS ขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมด ทำให้มีขนาดเล็กลงกว่าหนึ่งในสามเมื่อเทียบกับ MIUI รวมถึงมีรากฐานใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์มกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์สวมใส่ แท็บเล็ต และรถยนต์ รวมถึงรถยนต์คันแรกอย่าง Xiaomi SU7 ก็พร้อมด้วย HyperOS ด้วยเช่นกัน สำหรับ Xiaomi 14 ประสบการณ์ผู้ใช้ของมันยังคงอัดแน่นด้วยฟีเจอร์และมีรูปแบบที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนรายอื่นๆ โดยปกติแล้วจะไม่มีลิ้นชักแอปพลิเคชัน การแจ้งเตือนและการตั้งค่าด่วนอยู่ด้านบนซ้ายและขวาตามลำดับ การสไลด์ลงจากหน้าจอหลักจะแสดงค้นหาทั้งระบบ ขณะที่การสไลด์ขึ้นจะแสดงเมนู Content Center ซึ่งลิงก์ไปยังข่าวและวิดีโอยูทูบ มีหลายอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน

หากคุณยอมเสียเวลาในการเรียนรู้ HyperOS ก็จะมอบความยืดหยุ่นและการปรับแต่งรูปลักษณ์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด แม้ว่าการควบคุมและการตั้งค่าต่างๆ จะกระจัดกระจายจนง่ายต่อการสับสน นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชั่นของบุคคลที่สามหลายตัวติดตั้งมาด้วย เช่น แอปจองโรงแรมที่คนไทยไม่ได้นิยมใช้ ที่สามารถถอนการติดตั้งได้ แต่ที่ดีก็ไม่ควรมีมาตั้งแต่แรก สำหรับแอปของ Xiaomi เองก็อาจถือว่าเป็นสิ่งเกินจำเป็นด้วยเช่นกัน โดยมีวิธีการทำงานซ้ำซ้อนมากมาย ยกตัวอย่างเช่น App Vault, Cleaner, Game Center และ Security app ล้วนมีฟังก์ชันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหน่วยความจำ แล้วทำไมผู้ใช้ต้องมีถึง 4 วิธีในการเข้าถึงฟีเจอร์เดียวกัน

อย่างไรก็ตาม HyperOS ก็มีส่วนเสริมที่น่าสนใจด้วย เช่น Game Turbo ที่สามารถบล็อกการแจ้งเตือนขณะเล่นเกม รวมถึงควบคุมการตั้งค่าอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ความสว่าง และยังมีรวมถึงตัวเปลี่ยนเสียงด้วย ไม่เพียงเท่านั้น แอป Gallery ยังมีการรวมระบบ Google Photos ไว้ด้วย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในสมาร์ทโฟนรายอื่น

แน่นอนว่าสมาร์ทโฟนเรือธงในปี 2024 จะต้องมีฟังก์ชันปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Xiaomi ก็ได้สัญญาถึงฟีเจอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การขยายพื้นที่ภาพด้วย AI, การสร้างรูปพอร์ตเรตด้วย AI, คำบรรยายด้วย AI, การค้นหาเชิงความหมายในแอป Gallery และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ต้องขออภัย เนื่องจากในช่วงเปิดตัวฟีเจอร์เหล่านี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบ ผู้ใช้จำเป็นต้องลงทะเบียนเพื่อขอสิทธิ์การใช้งานก่อน แม้ฟีเจอร์เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่โปรโมตเป็นหลัก อย่างไรก็ดี หากเข้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมการทดสอบ และฟีเจอร์ AI ที่ได้ลองใช้นั้น สามารถทำงานได้ตามที่โฆษณาไว้ แม้ว่าจะต้องรอประมวลผลนานเกือบชั่วโมงสำหรับการสร้างรูปพอร์ตเรตด้วย AI ซึ่งแตกต่างจาก Samsung ที่ Xiaomi ยังไม่ได้กล่าวถึงการคิดค่าบริการใช้งานฟีเจอร์ AI แต่อย่างใด

สุดท้าย HyperOS บน Xiaomi 14 นั้นเป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 14 โดย Xiaomi สัญญาการอัปเดตระบบหลัก 4 ปี และอัปเดตด้านความปลอดภัย 5 ปี ซึ่งยังตามหลังผู้นำตลาดอย่าง Apple, Google และ Samsung อยู่ แต่ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในปี 2024 และรับประกันว่า Xiaomi 14 จะได้รับฟีเจอร์ใหม่และความปลอดภัยตลอดอายุการใช้งาน

กล้องถ่ายภาพและถ่ายวิดีโอ

แม้ว่าระบบกล้องบน Xiaomi 14 จะยังมีข้อบกพร่องบางประการ แต่ก็ดูเหมือนจะได้เปรียบคู่แข่งอย่างไอโฟนและกาแลคซีล่าสุด ด้วยการอัปเกรดเซนเซอร์กล้องทั้งชุดเมื่อเทียบกับ Xiaomi 13 และการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านระบบกล้องอย่าง Leica ด้านหลังของ Xiaomi 14 ประกอบด้วยกล้องเซนเซอร์ความละเอียด 50MP ถึง 3 ตัว โดยเป็นกล้องหลักที่ใช้เซนเซอร์ 'Light Fusion 900' ซึ่งเป็นเซนเซอร์ OmniVision OVX9000 ที่ได้รับการปรับแต่งโดย Xiaomi และ Leica ส่วนกล้องถ่ายกว้างและกล้องซูมใช้เซนเซอร์ ISOCELL JN1 ครอบคลุมระยะซูมตั้งแต่ 14 มม. ถึง 75 มม. แม้ว่ากล้องซูมจะมีความละเอียดที่ใช้งานจริงอยู่ที่ 32MP และเริ่มทำงานที่ระยะซูม 2.5 เท่า ซึ่งหมายถึงระยะซูมสูงสุดอาจสั้นกว่าที่ Xiaomi ระบุไว้

Leica มีส่วนร่วมในการออกแบบเลนส์แบรนด์ 'Summilux' โปรไฟล์สีในการถ่ายภาพ 'Leica Vibrant' และ 'Leica Authentic' และ 'ระบบมาสเตอร์เลนส์' ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับโหมดถ่ายภาพพอร์ตเรต นอกเหนือจากนี้ หน้าจอการควบคุมกล้องดูเรียบง่ายในการใช้งานครั้งแรก แต่เหมือนกับส่วนอื่นๆ ของ HyperOS ที่มีฟีเจอร์จำนวนมากอัดแน่นเข้าไว้ด้วยกัน ความหลากหลายของฟีเจอร์กล้องจะเป็นที่ต้อนรับสำหรับผู้ที่ยินดีเสียเวลาศึกษาประสบการณ์การใช้งาน แต่อาจดูซับซ้อนสำหรับผู้ที่ต้องการปรับการตั้งค่าเบื้องต้นเท่านั้น

การถ่ายภาพนิ่งจัดการผ่านโหมด Photo หรือ Pro mode สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมการตั้งค่ามากขึ้น ส่วนการถ่ายวิดีโอมีโหมด Video และ Movie mode ให้เลือกใช้ นอกจากนี้ยังมีโหมดการใช้งานอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น Short Film ที่มีเทมเพลตและฟิลเตอร์ให้สำหรับการบันทึกวิดีโอ, Director Mode ที่สามารถเชื่อมต่อกล้องและจอแสดงผลได้หลายตัวเพื่อบันทึกวิดีโอพร้อมกันหลายมุมมอง, Long Exposure, Supermoon และอื่นๆ อีกมากมาย

จากการทดสอบเปรียบเทียบกับคู่แข่งหลักอย่าง iPhone 15 และ Samsung Galaxy S24 ภาพถ่ายจาก Xiaomi 14 มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่น การใช้โปรไฟล์สี Leica Vivid (ที่ใช้ถ่ายทุกภาพตัวอย่างในรีวิวนี้) จะให้ภาพที่สว่างและสดใสกว่าคู่แข่ง พร้อมด้วยรายละเอียดที่ดีในทุกระยะซูม ภาพที่ถ่ายด้วยกล้องกว้างและเซนเซอร์หลักใหม่จะมีความสม่ำเสมอในแง่ของสี คอนทราสต์ และรายละเอียด ขณะที่ภาพจากกล้องซูมจะมีลักษณะคอนทราสต์ที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจออกมาไม่คาดเดา แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น

ในสถานการณ์ที่ท้าทายมากขึ้น ระบบมาโครของ Xiaomi 14 จะให้ภาพมีรายละเอียดตรงกลางที่ดี แต่อาจมีปัญหาสีคลาดเคลื่อนบริเวณขอบวัตถุ ขณะที่ในสภาพแสงน้อยระบบรับแสงอาจต้องปรับค่าบ่อยครั้ง แต่ในทางกลับกัน การใช้โหมดกลางคืนจะได้ภาพที่ดี คุณภาพแทบไม่แพ้ผู้นำอย่าง Google Pixel 8 Pro มุมมองวิดีโอแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพระบบกันสั่นที่ดีเยี่ยม นอกเหนือจากการควบคุมการบันทึกที่น่าประทับใจ ส่วนภาพเซลฟี่ก็มีคุณภาพดีกว่าคู่แข่งหากสบายใจกับการตั้งค่าปรับแต่งใบหน้ามากเกินไปตามค่าเริ่มต้น โดยที่โทนสีผิวจะแสดงผลได้อย่างถูกต้อง แต่ระบบปรับลบรอยหมองคล้ำจะเปิดใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งน่าสนใจที่แม้เซนเซอร์หน้าจะมีความละเอียด 32MP แต่ Xiaomi 14 จะไม่ลดความละเอียดภาพ แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในประสิทธิภาพของเซนเซอร์

ระบบ AI ในการถ่ายภาพของ Xiaomi 14

ฟีเจอร์ด้านภาพถ่ายปัญญาประดิษฐ์ที่กล่าวถึงข้างต้น (เวอร์ชันทดลอง) เปิดตัวบนสมาร์ทโฟน Xiaomi 14 (ซึ่งเกือบทั้งหมดสามารถเข้าถึงได้จากแอพพลิเคชั่นบันทึกภาพในเครื่อง หลังจากจับภาพ) ฟีเจอร์ AI Expansion ช่วยให้คุณสามารถขยายภาพได้ถึง 200% และปล่อยให้ปัญญาประดิษฐ์ในตัวเครื่องสร้างพื้นหลังใหม่ให้สอดคล้องกับภาพเดิม การสร้างพื้นหลังทุกครั้งใช้เวลาประมาณ 15 วินาทีเมื่อขยายภาพ 150% ผลลัพธ์มีทั้งสวยและไม่สวย แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือมันสามารถสร้างผลลัพธ์ที่สำเร็จและเป็นที่น่าพอใจได้บ่อยครั้ง

จากนั้นยังมี AI Portrait ซึ่งถือเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ทันสมัยและน่าสะพรึงกลัวที่สุดที่ผมเคยพบบนสมาร์ทโฟน หลังจากถ่ายเซลฟี่หรือภาพใบหน้าของคนคนเดียวกันประมาณ 30 ภาพ แล้วส่งข้อมูลไปยังวิซาร์ดสร้าง AI Portrait มันจะใช้การประมวลผลนอกเครื่องเพื่อสร้างรูปคล้ายของคุณที่เป็นภาพปัญญาประดิษฐ์ โดยสามารถนำไปวางในฉากต่างๆ ด้วยความช่วยเหลือจากข้อความบรรยายที่คุณพิมพ์

ธรรมชาติการพัฒนาฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ที่จะมาถึงบนสมาร์ทโฟน Xiaomi 14 (ในช่วงเวลาทบทวน ฟีเจอร์เหล่านี้ยังอยู่ในขั้นทดลอง) ได้รับการชี้แจงเมื่อระบุว่าการสร้างอวาตาร AI ของผู้ใช้ ใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่เมื่อมีอวาตาร AI แล้ว การสร้างภาพตามข้อความบรรยายใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที โดยผลลัพธ์ประสบความสำเร็จในระดับที่แตกต่างกัน ฟีเจอร์นี้จะแนะนำข้อความบรรยายด้วยตัวเอง แล้วก็จะสร้างภาพจากข้อความบรรยายออกมาได้อย่างน่าประทับใจตามต้องการ

ในเรื่องความมีประโยชน์ของฟีเจอร์นี้ เราสามารถจินตนาการถึงสถานการณ์แปลกใหม่ที่อวาตาร AI ของคุณจะปรากฏ เช่น การสร้างภาพขณะที่เราไปเที่ยวในวันหยุดเพื่อโพสต์ลงบน Instagram ที่เหมือนจริงจนแยกไม่ออก แต่เช่นเดียวกับภาพที่สร้างจากปัญญาประดิษฐ์ทั้งหมด ยังคงมีปัญหาด้านจริยธรรมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและควบคุมเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่เปิดให้คนทั่วไปใช้และจะยังคงพัฒนาต่อไปในอนาคต

สำหรับนโยบายปัญญาประดิษฐ์ของ Xiaomi โทรศัพท์ระบุว่าเครื่องใดใช้การประมวลผลในเครื่องเท่านั้นและเครื่องใดต้องใช้คลาวด์ ในขณะที่เอกสารประกอบของบริษัทอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับชุดข้อมูลสำหรับ Train อย่างไรก็ตาม แตกต่างจากเครื่องมือปรับแต่งภาพ AI ของ Samsung ไม่มีการทำเครื่องหมายน้ำบนภาพที่แสดงว่าถูกสร้างหรือแก้ไขโดย AI อย่างในกรณีของ Xiaomi ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรปรับปรุงในอัปเดตครั้งต่อไป และบนผลิตภัณฑ์ในอนาคตที่มีฟีเจอร์เสริมด้วย AI

ประสิทธิภาพและการเล่นเกม

แม้ว่าสมาร์ทโฟน Xiaomi 14 จะมีความโดดเด่นในการเป็นรายแรกที่วางจำหน่ายชิปเซ็ตระดับเรือธงรุ่นล่าสุดของ Qualcomm คือ Snapdragon 8 Gen 3 แต่การออกวางจำหน่ายที่ต้องใช้เวลาหลังจากชิปเซ็ตรุ่นใหม่เปิดตัวไป ทำให้ในเวลาที่มาถึงลูกค้าอย่างเราโดยเฉพาะในประเทศไทย คู่แข่งที่ใช้ชิปเซ็ตเดียวกันมีวางจำหน่ายก่อนหน้านั้นแล้ว อย่างไรก็ตาม Xiaomi 14 ยังคงเป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตลาดปัจจุบันตอนนี้อยู่ดี

ระบบปฏิบัติการ HyperOS เช่นเดียวกับ MIUI ในอดีต มีการจัดการประสิทธิภาพแบบละเอียด โดยมีโปรไฟล์การจัดสรรพลังงานที่ควบคุมระดับความต้องการทรัพยากรระบบของแอปและบริการ แต่แม้โดยไม่ต้องเปิดโหมด 'ประสิทธิภาพสูงสุด' ในการทดสอบด้วยเบนช์มาร์กที่จำลอง Xiaomi 14 ก็ยังคงทำคะแนนได้สูงเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ชั้นนำรุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน ทั้ง Samsung Galaxy S24 และ Asus Zenfone 11 Ultra ในขณะที่โทรศัพท์มือถือเรือธงรุ่นอื่นอย่าง Pixel 8 Pro ได้คะแนนต่ำกว่ามากในการทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลและกราฟิก

การใช้งานจริงแสดงให้เห็นว่า ด้วยประสิทธิภาพของหน่วยประมวลผลและการเพิ่มประสิทธิภาพของ HyperOS ที่มากกว่า MIUI Xiaomi 14 มีความแรงเพียงพอที่จะรองรับการใช้งานประจำวันที่มีความต้องการสูง โดยฟีเจอร์ AI นับเป็นหนึ่งในไม่กี่กรณีที่คุณจะต้องจ้องดูแถบโหลดสักครู่ นอกจากนี้ การเล่นเกมบน Xiaomi 14 ยังคงเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ไม่เพียงแค่หน้าจอขนาดใหญ่เหมาะสำหรับการเล่นเกม แต่ทีมวิศวกรก็ได้ทำงานอย่างหนักกับระบบจัดการความร้อนของสมาร์ทโฟนขนาดกะทัดรัดเครื่องนี้ ยกตัวอย่างเช่น แม้ตั้งค่ากราฟิกของเกม Genshin Impact ให้เร็วที่สุด (เฟรมเรตสูงสุด 60fps) Xiaomi 14 ก็ยังคงไม่มีอาการร้อนมากแม้เล่นต่อเนื่องนาน 30 นาที รวมถึงยังมีคุณสมบัติเพิ่มเติมของ Game Turbo ที่สามารถลดการหน่วงของเน็ตเวิร์ก เพิ่มการตอบสนองการสัมผัส และเร่งประสิทธิภาพ โดยเปลืองแบตมากขึ้น

แบตเตอรี่

ความเร็วในการชาร์จและความจุแบตเตอรี่ของ Xiaomi 14 ได้รับการอัปเกรดอย่างจริงจังเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า โดยรุ่นมาตรฐานตอนนี้มีความเร็วในการชาร์จแบบมีสายถึง 90W และการชาร์จไร้สาย 50W เทียบเท่ากับรุ่น Ultra สามารถชาร์จเต็มได้อย่างรวดเร็วในเพียง 40 นาทีเท่านั้น ขณะที่การทดสอบของผมพบว่าแบตเตอรี่จะชาร์จได้มากกว่า 50% ในเวลาแค่ 15 นาที ซึ่งแตกต่างจาก iPhone 15 ที่ใช้ความเร็วการชาร์จแบบมีสายเพียง 20W ใช้เวลาชาร์จเต็มนานกว่า 2 ชั่วโมง

ทั้งนี้ Xiaomi 14 จะไม่ได้ให้ความเร็วสูงสุดในการชาร์จตั้งแต่เปิดกล่อง แต่ก็ยังคงรวดเร็วกว่าทั่วไป นอกจากต้องใช้แหล่งจ่ายไฟ 'HyperCharge' 90W ที่มาให้แล้ว ยังต้องเปิดตัวเลือก 'boost charging speed' ในเมนูการตั้งค่าด้วย ซึ่งจะทำให้ได้ความเร็วสูงสุด 90W โดยจะชาร์จตามกราฟแบบลอการิทึม นั่นคือจะชาร์จได้เร็วที่สุดเมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อย และจะชาร์จได้ช้าลงเรื่อยๆ เมื่อใกล้เต็ม เพื่อคุ้มครองสุขภาพแบตเตอรี่ในระยะยาว

ด้านระยะเวลาการใช้งาน Xiaomi 14 มีประสิทธิภาพโดดเด่นสำหรับโทรศัพท์มือถือระดับเรือธง โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 8.5 ชั่วโมงจากการทดสอบ หรือใช้งานได้นานถึง 2 วัน โดยเฉพาะหากใช้งานร่วมกับโหมดประหยัดพลังงานต่างๆ ที่จำกัดการเข้าถึงและกระบวนการพื้นหลังของแอป ซึ่งนับว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเล็กที่มีอายุการใช้งานดีที่สุดในปัจจุบัน แม้จะไม่เทียบเท่า iPhone 15 ที่สามารถใช้งานนานกว่า 11 ชั่วโมง แต่เมื่อรวมพิจารณาทั้งอายุการใช้งานและความเร็วในการชาร์จ Xiaomi 14 นับเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเล็กที่ดีที่สุดแล้ว

น่าซื้อไหม

การตัดสินใจซื้อ Xiaomi 14 ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะราคาหลายหมื่นบาทเลย แต่มันเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงที่น่าพิจารณาจริงๆ สำหรับปี 2024 ผมชอบความกระทัดรัดแต่ทำงานเร็วและแรงแบบสุด ดีกว่าคู่แข่งจากแบรนด์ใหญ่ในหลายๆด้าน ดีไซน์สวยงามเว้นแต่สีเขียวมรกตจับรอยนิ้วมือง่าย ฮาร์ดแวร์แทบจะไม่มีที่ต้องบ่น สมรรถนะเร็ว ชาร์จไว และกล้องคมชัด แต่คุณพร้อมจ่ายแพงกว่ารุ่นอื่นทั้งที่ HyperOS และการสนับสนุนซอฟต์แวร์ด้อยกว่าหรือไม่ ส่วนตัวผมพร้อมใช้เป็นเครื่องหลัก ซึ่งถือเป็นคำชมระดับสูงสุดสำหรับผมแล้วล่ะ

Xiaomi 14

จอ OLED LTPO C8 ขนาด 6.36 นิ้ว 1.5K (1200 x 2670 พิกเซล) สว่างสูงสุด 3,000 นิต อัตรารีเฟรช 1 – 120Hz รองรับ HDR10+, Dolby Vision ชิปเซต : Snapdragon 8 Gen 3, RAM LPDDR5x : 12GB, ROM UFS 4.0 : 256 / 512GB กล้อง LEICA VARIO-SUMMILUX : กล้องหลัก Light Hunter 900 ขนาด 1/1.31 นิ้ว 50MP (f/1.6), ระบบกันสั่น OIS, กล้องอัลตราไวด์ 50MP (f/2.2), มุมกว้าง 115 องศา, กล้องเทเลโฟโต 50MP (f/2.0), ระบบกันสั่น OIS, ระบบโฟกัส Floating Focus, ระยะซูม 75 มม., กล้องหน้า : 32MP (f/2.0) เสียงลำโพงสเตอรีโอ รองรับ Dolby Atmos, Hi-Res, Hi-Res Wireless แบตเตอรี่ : 4,610 mAh ...

Content Cover

ความคิดเห็น