กลับมาอีกครั้งด้วยการออกแบบใหม่และฟีเจอร์ที่น่าสนใจ Xiaomi Redmi 13C พยายามครองบัลลังก์สมาร์ทโฟนระดับรุ่นราคาประหยัด หลังจากที่รุ่นก่อนหน้าอย่าง Redmi 12C ดูล้าสมัยไปในบางฟีเจอร์แล้ว พอมาเป็น Redmi 13C จึงมาพร้อมกับอัปเกรดหลายประการ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้มากขึ้น ... เริ่มต้นด้วยการยกเลิกพอร์ต micro-USB ที่ล้าสมัยไปแล้ว Redmi 13C จึงได้รับการอัปเกรดมาสู่พอร์ต USB Type-C ซึ่งทันสมัยและใช้งานสะดวกมากกว่า โทรศัพท์รุ่นนี้ยังคงใช้ชิปเซ็ต Helio G85 ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างดีสำหรับสมาร์ทโฟนในระดับกลางๆ ไปจนถึงราคาประหยัด ซึ่งจะสามารถรองรับการใช้งานทั่วไปของคนส่วนใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์
จุดเด่นสำคัญของ Redmi 13C คือตัวเลือกหน่วยความจำที่หลากหลาย ผู้ใช้สามารถเลือกรุ่นที่มี RAM สูงสุด 8GB และพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 256GB ซึ่งก็เหลือเฟือสำหรับการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก อีกทั้งหน้าจอยังมีรีเฟรชเรทสูงถึง 90Hz ช่วยให้การเลื่อนหน้าจอนุ่มนวลและราบรื่นมากขึ้น แม้ว่า Redmi 13C จะไม่ได้เป็นสมาร์ทโฟนระดับแนวหน้า แต่มันก็มีสเปคและฟีเจอร์ที่น่าสนใจพอสมควร ซึ่งคงจะทำให้มันกลายเป็นทางเลือกที่น่าดึงดูดสำหรับหลายคนที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาประหยัดแต่ประสิทธิภาพดี ในบทความนี้ ผมจะมาเจาะสเปคและรีวิว Redmi 13C โดยละเอียด พร้อมทั้งสรุปข้อดีและข้อเสียมาให้ด้วยเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจซื้อของคุณ
Xiaomi Redmi 13C (6+128) Clover Green หน้าจอขนาด 6.74 นิ้ว จอแสดงผล HD+, ชิป Helio G85 (12nm)
RAM 6GB / ROM 128GB, Front Camera 8MP, Back Camera 50MP (Main) + 2MP (Macro), Battery 5,000 mAh ...

ข้อดีและข้อเสียของ Redmi 13C
- ข้อดี
- ตัวเครื่องมาพร้อมดีไซน์ด้านหลังสุดเท่ห์ๆ และแตกต่าง (โดยเฉพาะรุ่นสีขาว)
- มีเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือรวมอยู่ในปุ่มเปิดปิด
- แบตเตอรี่ประสิทธิภาพดีเยี่ยมและใช้งานได้นานตลอดทั้งวัน รองรับชาร์จไว 18 วัตต์
- มีหน้าจอขนาดใหญ่เหมาะสำหรับการชมวิดีโอ ดูหนัง และเล่นเกมด้วยอัตรารีเฟรช 90Hz
- ข้อเสีย
- เครื่องชาร์จเร็ว 18 วัตต์ไม่ได้รวมอยู่ในกล่องและไม่มีเคสมาให้ด้วย
- จะดีกว่าหากหน้าจอมีความละเอียด FHD+ แทนที่จะเป็น HD+
- ขอบด้านล่างของหน้าจอยังคงมีพื้นที่ขนาดใหญ่
- ชิปเซตทำงานเร็วดีสำหรับการใช้งานทั่วไปแต่ยังคงเหมือนเดิมกับรุ่นก่อน
- กล้องถ่ายรูปได้ภาพคุณภาพสูง แต่จะมีปัญหาถ้าอยู่ในสภาวะแสงน้อยหรือมืด
การออกแบบ
Xiaomi ได้ปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกของ Redmi 13C อย่างสิ้นเชิง เพื่อไม่ให้ดูล้าสมัยและถูกมองว่าเป็นสมาร์ทโฟนราคาถูกทั่วไป อย่างรุ่นก่อนหน้าที่มีลวดลายเส้นริ้วและขอบมนบนพื้นผิวหลังของโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ดูทันสมัยมากขึ้น แม้ว่ายังคงใช้กรอบและด้านหลังตัวเครื่องทำจากพลาสติกเช่นเดิม แต่รูปลักษณ์โดยรวมดูสวยงามและมีสไตล์มากขึ้น โดยมีตัวเลือกสีหลากหลาย ได้แก่ สีเขียวคลอเวอร์, สีขาวกลาเซียร์, สีดำเมดไนท์, และสีกรมท่า ทั้งนี้โทนสีค่อนข้างเรียบและไม่โดดเด่นจนเกินไป เหมาะสำหรับการใช้งานในบรรยากาศที่เป็นทางการ ด้านหลังมีผิวสัมผัสที่ด้าน แต่รุ่นสีน้ำเงินที่จะมีประกายวาวเล็กน้อยเมื่อโดนแสง ส่วนรุ่นสีขาวดูโดดเด่นที่สุด เนื่องจากพื้นผิวมีลักษณ์เหมือนผลึกขนาดเล็กเกาะอยู่
โมดูลกล้องหลักมีพื้นผิวเงาสะท้อน ทำให้ดูโดดเด่นจากตัวเครื่องและยื่นออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย ด้านหน้ามีขอบรอบจอที่ชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับสมาร์ทโฟนระดับราคานี้, Redmi 13C มีน้ำหนักอยู่ที่ 192 กรัม ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้า และเหมาะสมกับขนาดตัวเครื่อง ไม่หนักหรือเบาเกินไป การประกอบตัวเครื่องมีคุณภาพดี แม้กดแรงก็ไม่บิดงอหรือทำให้ผิวเสียรูปทรง
จอแสดงผล
หน้าจอของ Xiaomi Redmi 13C เป็นแบบ IPS ขนาด 6.74 นิ้ว ใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย อัตราการรีเฟรชสูงสุดอยู่ที่ 90 Hz โดยผู้ใช้สามารถเลือกตั้งค่าเองที่ 60 หรือ 90 Hz หรือปล่อยให้ระบบปรับให้อัตโนมัติตามสถานการณ์ก็ได้ ค่าความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ 424 cd/m² เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน และมีการกระจายแสงค่อนข้างสม่ำเสมอบนหน้าจอ เมื่อเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับราคาเดียวกัน หน้าจอของ Redmi 13C ถือว่าทำได้ดี
แต่ก็มีข้อสังเกตบางประการ นั่นคือ การมีความละเอียดแค่ระดับ 720p บนหน้าจอขนาดใหญ่ 6.74 นิ้ว อาจไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 7,000 บาท แต่ในปัจจุบันก็มีรุ่นที่ให้ความละเอียด Full HD บนหน้าจอราคาระดับเดียวกันแล้ว ความแตกต่างในคุณภาพการแสดงผลจึงเห็นได้ชัดเจน โดยภาพที่ความละเอียดต่ำจะมีความไม่คมชัดอยู่ในการแสดงผล และรายละเอียดทั่วไปก็ไม่คมชัดเท่ากับหน้าจอความละเอียดสูง อย่างไรก็ตาม จุดบวกของหน้าจอ Redmi 13C คือ มีค่าสีดำที่ค่อนข้างดี ทำให้สีต่างๆ ไม่ซีดจางมากนัก ในภาพรวมหน้าจอจึงมีคุณภาพที่น่าพอใจสำหรับระดับราคานี้ แม้จะไม่ใช่สุดยอดที่สุดในเรื่องความคมชัดก็ตาม
ประสิทธิภาพ
การประมวลผลและประสิทธิภาพของ Xiaomi Redmi 13C นั้นพอใช้ได้ในระดับราคาของมัน โดยมาพร้อมกับชิปเซ็ต MediaTek Helio G85 ซึ่งเป็นชิปเดียวกับที่ใช้ในรุ่นก่อนหน้า จึงไม่มีความก้าวหน้าใหม่ๆ ทางด้านฮาร์ดแวร์มากนัก อย่างไรก็ดี จากข้อมูลผลการทดสอบเบนช์มาร์กพบว่าชิปดังกล่าวให้ประสิทธิภาพที่ดีพอสมควรในระดับราคานี้สำหรับการใช้งานทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว ซึ่งโดยรวมแล้วจะทำคะแนนได้มากกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในระดับราคาเดียวกันราว 20% ซึ่งถือว่าเป็นส่วนต่างที่สังเกตเห็นได้ชัด
หมายความว่าผู้ใช้จะสามารถเลื่อนเมนูและใช้งานแอปพื้นฐานได้อย่างราบรื่น แต่ก็อาจประสบปัญหาสะดุดหรือต้องรอนานขึ้นในบางแอปที่มีความต้องการทรัพยากรสูง ทว่าด้านประมวลผลกราฟิกนั้นถือว่าเป็นจุดอ่อนของ Redmi 13C เมื่อนำไปเล่นเกมส์ที่มีกราฟิกค่อนข้างหนัก พบว่าความเร็วแสดงผลจะตกอยู่ต่ำกว่า 30 fps ซึ่งถือว่าไม่ราบรื่นนัก และจะแย่ลงไปอีกหากเล่นที่ความละเอียดสูงกว่าความละเอียดมาตรฐาน นอกจากนี้ ประสิทธิภาพการเข้าเว็บไซต์ต่างๆ ก็ดีกว่าสมาร์ทโฟนในระดับเดียวกันเพียงเล็กน้อย หน้าเว็บจะโหลดได้อย่างรวดเร็วพอสมควร แต่ก็อาจต้องรอสักพักในการโหลดรูปภาพแต่ละภาพซึ้งขึ้นกับความเร็วอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่ออยู่ด้วย
ส่วนด้านความจุของพื้นที่เก็บข้อมูลนั้น Xiaomi ไม่ได้ใส่ใจมากนัก โดยติดตั้งหน่วยความจำชนิด eMMC ที่มีความเร็วต่ำมาให้ ซึ่งตรงข้ามกับสมาร์ทโฟนบางรุ่นในระดับราคาเดียวกันที่หันมาใช้หน่วยความจำ UFS ที่เร็วกว่ากันแล้ว ทำให้บางครั้งผู้ใช้ Redmi 13C อาจต้องรอการโหลดแอปและข้อมูลนานกว่าปกติ
โดยรวมแล้ว ประสิทธิภาพของ Redmi 13C ถือว่าเหมาะสมกับราคาค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ควรคาดหวังสเปคสูงกว่าระดับนี้ เนื่องจากเป็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดที่มุ่งเน้นการใช้งานพื้นฐานมากกว่าความสามารถระดับสูง
การเล่นเกม
การเล่นเกมไม่ใช่จุดแข็งของ Xiaomi Redmi 13C เนื่องจากฮาร์ดแวร์ที่มีข้อจำกัด ในขณะที่เกมพื้นฐานง่ายๆ ยังสามารถรันได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อเจอเกมที่ต้องการประมวลผลสูงอย่าง Genshin Impact หรือ PUBG Mobile ผู้ใช้จะต้องปรับการตั้งค่ากราฟิกให้ต่ำลงเพื่อให้เกมสามารถรันต่อได้ แต่อย่างไรก็ตามความเรียบลื่นของเฟรมเรทที่ระดับ 60fps นั้นก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ เกมจะยังคงเล่นได้ในการตั้งค่ากราฟิกสูง แต่อาจต้องเจอปัญหาสะดุดบ้าง ซึ่งลดความสนุกในการเล่นลงไป ทั้งนี้ได้มีการทดสอบความเรียบลื่นของเฟรมเรทด้วยซอฟต์แวร์จาก GameBench แล้ว และการใช้งานหน้าจอสัมผัสรวมถึงเซนเซอร์ตำแหน่งในการเล่นเกมก็ยังคงทำงานได้อย่างถูกต้อง
กล้องถ่ายภาพ
ด้านกล้องของ Xiaomi Redmi 13C นั้นมีจุดเด่นที่น่าสนใจ โดยมาพร้อมกับกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล และมีกล้องมาโครสำหรับถ่ายภาพระยะใกล้อีกตัวหนึ่ง ซึ่งกล้องหลักจะสามารถใช้งานได้ทั้งในโหมดปกติที่ถ่ายด้วยความละเอียด 12.5 ล้านพิกเซล หรือโหมดพิเศษที่ใช้ความละเอียดเต็มที่ 50 ล้านพิกเซล
สำหรับภาพที่ถ่ายจากกล้องหลักในโหมดปกตินั้น มีคุณภาพที่น่าพอใจสำหรับสมาร์ทโฟนในระดับราคาประหยัด โดยให้ระดับรายละเอียดที่ดี คมชัด และการแสดงสีที่ถูกต้องในสภาพแสงที่เหมาะสม แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพจากสมาร์ทโฟนระดับเรือธงก็ยังด้อยกว่าในเรื่องความคมชัดและรายละเอียดเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในสภาพแสงที่ดีกล้องหลักของ Redmi 13C ก็ให้ภาพที่ดีในระดับมาตรฐานที่คาดหวังไว้ แต่จะพบปัญหาในสภาพแสงต่ำหรือมีความคอนทราสต์สูง โดยภาพจะมีช่วงไดนามิกเรนจ์ที่จำกัด พื้นที่ที่มีแสงมากจะรับแสงเกินจนสว่างจ้า ในขณะที่บริเวณที่มืดจะเห็นรายละเอียดได้น้อยมาก
ด้านการบันทึกวิดีโอนั้น กล้องหลักสามารถบันทึกได้สูงสุดที่ความละเอียด 1080p อัตรา 30 เฟรมต่อวินาที โดยระบบโฟกัสและปรับแสงอัตโนมัติจะทำงานได้อย่างราบรื่นในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจต้องคอยระวังในเรื่องของการตอบสนองที่อาจจะล่าช้าได้บ้าง ส่วนกล้องหน้าหรือกล้องเซลฟี่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ถูกติดตั้งอยู่ด้านบนของหน้าจอแบบหยดน้ำ ในขณะที่การถ่ายภาพในสภาพแสงสว่างเพียงพอยังสามารถให้ภาพที่มีคุณภาพใช้งานได้ แต่อาจมี noise รบกวนและจุดประกายเล็กน้อย แต่เมื่อถ่ายในที่มืดจะได้ภาพที่มีไดนามิกเรนจ์ที่ดีกว่ากล้องหน้าของสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ในระดับราคาเดียวกัน
โดยรวมแล้วระบบกล้องของ Redmi 13C มีศักยภาพเหนือกว่าสมาร์ทโฟนราคาประหยัดทั่วไป โดยเฉพาะกล้องหลักที่มีความละเอียดสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการโดยเฉพาะในเรื่องของการทำงานในสภาพแสงต่ำและความคมชัดเมื่อเทียบกับระดับเรือธง
การเชื่อมต่อ
แม้ว่า Xiaomi Redmi 13C จะรองรับเฉพาะสัญญาณ 4G ไม่ใช่ 5G แต่สัญญาณ 4G ที่รองรับก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในประเทศไทย ผู้ที่วางแผนจะนำเครื่องไปใช้ในต่างประเทศ ควรตรวจสอบย่านความถี่ของสัญญาณ 4G ในประเทศนั้นๆ อีกครั้ง จุดเด่นของรุ่นนี้อีกอย่างอยู่ที่ระบบนำทางที่มีความแม่นยำสูง รองรับสัญญาณดาวเทียมหลายระบบรวมถึง SBAS ทำให้สามารถระบุตำแหน่งได้เบี่ยงเบนเพียง 1 เมตรเท่านั้น จากข้อมูลที่มีการทดสอบกันพบว่า การนำทางโดยการปั่นจักรยานเทียบกับ Garmin Venu 2 smartwatch แสดงให้เห็นว่า Redmi 13C บันทึกเส้นทางได้อย่างแม่นยำ มีข้อเสียเพียงแค่การแสดงผลทิศทางขณะข้ามสะพานอาจคลาดเคลื่อนเล็กน้อย
สำหรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi เครื่องรองรับมาตรฐาน Wi-Fi 5 เมื่อเชื่อมต่อกับเราเตอร์สามารถทำงานได้รวดเร็วและเสถียร รองรับความเร็วสูงสุดประมาณ 300-350 Mbps อาจไม่เพียงพอสำหรับการใช้เน็ตบ้านแบบ Gigabit แต่สำหรับการใช้งานทั่วไปถือว่าเพียงพอแล้ว จากข้อมูลที่มีการทดสอบกันพบว่า สัญญาณ Wi-Fi จะอ่อนลงเมื่ออยู่ห่างจากเราเตอร์ 10 เมตร และมีกำแพง 3 ชั้น กินเวลาในการโหลดเว็บไซต์นานขึ้นเล็กน้อย
ซอฟต์แวร์
MIUI 14 ของ Xiaomi บน Android 13 เป็นพื้นฐานในการทำงานของโทรศัพท์ Redmi 13C ซึ่งมีการปรับแต่งให้เหมาะสำหรับผู้ใช้ใหม่ของ Xiaomi ที่อาจต้องใช้เวลาในการเข้าใจระบบบ้างเล็กน้อย โทรศัพท์รุ่นนี้มาพร้อมกับแอปพรีอินสตอลมากมายจาก Xiaomi รวมถึงผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากบุคคลที่สามด้วย หากคุณต้องการระบบที่สะอาด คุณจะต้องใช้เวลาในการจัดระเบียบก่อนพอสมควร
Xiaomi Redmi 13C เข้าไปใน Android Enterprise Recommended Phones ของ Xiaomi เช่นกันโดยกำหนดว่าโทรศัพท์จะได้รับการอัพเดตความปลอดภัยทุกๆ 90 วัน เป็นเวลาถึง 4 ปีและจะได้รับ Android เวอร์ชันใหม่อย่างน้อยสองเวอร์ชัน นี่คือคำสัญญาที่ดีสำหรับสมาร์ทโฟนราคาประหยัดอย่างเช่น Redmi 13C ตัวนี้ ใครที่ใช้มือถือรุ่นนี้อยู่ตอนนี้ช่วงเวลาการอัพเดตควรจะมาถึงแล้ว
แอปการโทร
Xiaomi Redmi 13C ใช้แอปโทรศัพท์ของ Google ซึ่งควรจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วกับผู้ใช้โทรศัพท์ Android 13 จากสมาร์ทโฟนอื่น ๆ แม้ว่าไม่มีความจำเป็นอะไรต้องใช้แอปโทรศัพท์อันอื่น แต่ก็แน่นอนว่าคุณสามารถดาวน์โหลดแอปโทรศัพท์อื่นจาก Google Play Store ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามคุณต้องระวังในการเลือกแอปจากนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จะไว้วางใจได้เท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น