iPhone 16 มีการออกแบบที่คล้ายกับรุ่น Pro มากขึ้น และมาพร้อมกับสีเทอควอยซ์ที่ดูสดใส ผิวสัมผัสด้านช่วยให้ตัวเครื่องดูมีระดับมากขึ้น การจัดเรียงกล้องเป็นแนวตั้งกลับมาอีกครั้งแบบเดียวกับ iPhone 12 คาดว่าเพื่อรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Spatial Video ได้ดียิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงด้านปุ่มกดก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจ โดยเพิ่มปุ่ม Action และปุ่ม Capture ซึ่งแม้จะเป็นฟีเจอร์ใหม่ แต่ยังคงมีข้อจำกัดในการใช้งานจริง ปุ่ม Capture มีตำแหน่งที่อาจทำให้เกิดการกดโดนโดยไม่ตั้งใจบ่อยครั้ง ซึ่งอาจต้องรอการอัปเดตซอฟต์แวร์ในอนาคตเพื่อให้มีประโยชน์มากขึ้น
กระจกหน้าจอใช้ Ceramic Shield รุ่นใหม่ที่มีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น 50% ในช่วงแรกของการใช้งานโดยไม่ใส่เคส ไม่พบรอยขีดข่วน แต่เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดกลับพบว่ามีร่องรอยเกิดขึ้น ดังนั้นการติดฟิล์มกันรอยอาจเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อป้องกันความเสียหาย หน้าจอยังคงใช้รีเฟรชเรต 60Hz ซึ่งเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับเดียวกันจากฝั่ง Android ที่มักใช้ 120Hz ทำให้รู้สึกว่าการเลื่อนหน้าจอและการใช้งานทั่วไปไม่ลื่นไหลเท่า
iPhone 16 ใช้ชิป A18 ที่มีประสิทธิภาพสูงและทำงานได้ใกล้เคียงกับรุ่น Pro ในการใช้งานทั่วไป ไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจน เว้นแต่จะเป็นการเล่นเกมที่ใช้กราฟิกสูง ถ่ายวิดีโอ 4K หรือใช้งาน Photographic Styles ที่ต้องการการประมวลผลภาพขั้นสูง เมื่อทดสอบเปรียบเทียบกับ iPhone 13 และ 14 พบว่าการทำงานรวดเร็วขึ้นถึง 30% และสามารถเปิดแอปได้ไวขึ้น ด้วย RAM ขนาด 8GB ทำให้การสลับแอปทำได้ดีขึ้น และไม่มีอาการหน่วงระหว่างใช้งาน
กล้องของ iPhone 16 ยังคงมีคุณภาพดี โดยเฉพาะในสภาพแสงปกติ ภาพที่ได้มีความคมชัดและสีสันสมจริง ความแตกต่างของกล้องเมื่อเทียบกับรุ่น Pro จะเห็นได้ชัดในที่แสงน้อย ซึ่งรุ่น Pro สามารถเก็บรายละเอียดในส่วนที่มืดได้ดีกว่า รุ่นนี้ไม่มีเลนส์ Telephoto 5x และกล้อง Ultra-wide 42MP แบบรุ่น Pro แต่ยังคงรองรับ Photographic Styles ที่ช่วยให้ปรับแต่งสีภาพแบบเรียลไทม์ หรือแก้ไขในภายหลังได้แม้ไม่มีการถ่ายแบบ ProRAW วิดีโอที่ได้ยังคงมีคุณภาพสูงแม้จะไม่มีฟีเจอร์ 4K 120Hz แบบรุ่น Pro แต่ก็ยังให้ภาพที่ดูสวยงาม
ระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ถือว่าดีขึ้น เมื่อเทียบกับ iPhone 15 และ 15 Pro พบว่าใช้งานได้นานขึ้นประมาณ 15% และเมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 14 และ 13 พบว่าดีขึ้นถึง 20-25% เฉลี่ยแล้วสามารถใช้งานได้ระหว่าง 8-12 ชั่วโมงต่อวัน การจัดการพลังงานของชิป A18 ทำได้ดีขึ้น แต่เมื่อเทียบกับ Android บางรุ่น เช่น Pixel 9 ซึ่งมีแบตเตอรี่ขนาด 4575 mAh และใช้งานได้ 10-14 ชั่วโมง iPhone 16 ยังมีระยะเวลาการใช้งานที่สั้นกว่า
ปัญหาความร้อนยังคงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสนใจ เครื่องจะร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อใช้งานหนัก หรือแม้แต่ขณะชาร์จแบตเตอรี่ในอุณหภูมิห้องปกติ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสะดวกในการใช้งานในระยะยาว คาดว่า Apple อาจต้องปรับปรุงการจัดการความร้อนในอัปเดตถัดไป
ราคาของ iPhone 16 อยู่ที่ $799 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 16 Pro แล้ว ถือว่าประหยัดเงินไปได้พอสมควร แต่หากนำไปเทียบกับสมาร์ทโฟน Android ระดับเดียวกัน จะพบว่า Galaxy S24 หรือ Pixel 9 มีข้อได้เปรียบหลายด้าน เช่น หน้าจอที่สว่างกว่า รองรับรีเฟรชเรต 120Hz แบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น และการชาร์จที่เร็วกว่า นี่เป็นข้อเสียสำคัญของ iPhone 16 ที่อาจทำให้ผู้ที่มองหาความคุ้มค่าต้องพิจารณาอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อ
สรุปข้อดีและข้อเสียของ iPhone 16
ข้อดี
- ดีไซน์สวยงาม โดยเฉพาะสี Teal ที่โดดเด่นและมีผิวสัมผัสแบบด้าน
- ตัวเครื่องน้ำหนักเบากว่า iPhone 16 Pro ทำให้จับถนัดมือมากขึ้น
- ได้รับปุ่ม Action Button และ Capture Button เช่นเดียวกับรุ่น Pro
- จอแสดงผลใช้กระจก Ceramic Shield รุ่นใหม่ แข็งแรงขึ้น 50%
- ประสิทธิภาพของชิป A18 ดีมาก ใช้งานลื่นไหล ไม่ต่างจากรุ่น Pro
- กล้องคุณภาพสูง แม้ไม่มีเลนส์ 5x Telephoto และ Ultra-wide 42MP แบบรุ่น Pro แต่ยังให้ภาพที่ดีในสภาพแสงที่เหมาะสม
- ฟีเจอร์ Audio Mix ช่วยปรับแต่งเสียงในวิดีโอได้ดี
- อายุการใช้งานแบตเตอรี่ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า ใช้งานได้นานกว่า iPhone 15 และ 14
ข้อเสีย
- หน้าจอรีเฟรชเรตยังคงเป็น 60Hz ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ลื่นไหลเท่ารุ่นที่มี 120Hz
- ตัวเครื่องยังมีปัญหาความร้อนเมื่อใช้งานหนัก หรือแม้แต่ตอนชาร์จแบตเตอรี่
- ไม่มีฟีเจอร์กล้อง ProRAW และ Dolby Vision 4K 120FPS เหมือนในรุ่น Pro
- เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟน Android ในช่วงราคาใกล้เคียงกัน สเปคโดยรวมยังเป็นรองในบางจุด เช่น ความสว่างของหน้าจอ ปริมาณ RAM ขนาดแบตเตอรี่ และความเร็วในการชาร์จ
- Apple Intelligence ยังไม่มีให้ใช้งาน ณ วันเปิดตัว ทำให้ฟีเจอร์เด่นที่ควรเป็นจุดขายยังคงเป็นเพียงคำสัญญา
iPhone 16 อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ใช้ iPhone 15 หรือ 14 แต่สำหรับผู้ที่ใช้ iPhone รุ่นเก่า เช่น iPhone 12, 11 หรือ X รุ่นนี้ถือเป็นการอัปเกรดที่สมเหตุสมผล หากไม่ต้องการจ่ายเงินเพิ่มเพื่อรุ่น Pro ปัญหาหลักยังคงเป็นหน้าจอ 60Hz ที่ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ลื่นไหลเท่ากับคู่แข่งจาก Android และปัญหาความร้อนที่ยังคงพบได้ตลอดการใช้งาน นอกจากนี้ ฟีเจอร์ที่คาดว่าจะเป็นจุดเด่นของ iPhone 16 อย่าง Apple Intelligence ยังไม่มีให้ใช้งาน จึงทำให้รุ่นนี้ไม่ได้มีความแตกต่างจาก iPhone 15 มากนัก
อนาคตของการพัฒนา iPhone อาจเปลี่ยนไป หากข่าวลือที่ว่า Apple อาจเลิกออก iPhone รุ่นใหม่ทุกปีเป็นความจริง ซึ่งอาจช่วยให้แต่ละรุ่นมีการพัฒนาที่ชัดเจนขึ้นมากกว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น