vivo X200 และ X200 Pro ข้อดีและข้อเสียเป็นอย่างไร

การออกแบบที่โดดเด่นของ vivo X200 และ X200 Pro ทำให้ทั้งสองรุ่นดูแตกต่างกันเล็กน้อย โดยเฉพาะในเรื่องขนาดหน้าจอที่ X200 มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยที่ 6.67 นิ้ว ในขณะที่ X200 Pro มีขนาดใหญ่ถึง 6.78 นิ้ว ความแตกต่างยังเห็นได้ชัดเจนในส่วนของวัสดุและการออกแบบโมดูลกล้องที่ยกขึ้นมาเพื่อรองรับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ X200 Pro ยังมีกระจกแบบ Armor GL ที่แข็งแกร่งกว่ารุ่นเดิมถึง 11 เท่า ส่วน X200 แม้ว่าจะไม่มีฟีเจอร์ชาร์จไร้สาย แต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามด้วยสีเขียว Allora Green และสีน้ำเงินลายพิเศษ

เมื่อพูดถึงเรื่องกล้อง ทั้งสองรุ่นนี้แสดงศักยภาพในการถ่ายภาพได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ X200 Pro ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์หลัก Sony IMX989 ขนาด 1 นิ้ว ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล และกล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ซึ่งให้ระยะซูม Optical 3.7x และ Digital Zoom สูงสุด 100x ทำให้สามารถถ่ายภาพจากระยะไกลได้อย่างคมชัด ส่วน X200 แม้จะใช้เซ็นเซอร์ที่เล็กกว่า แต่ยังคงความสามารถในการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะโหมดบุคคลที่มีการจำลองโบเก้และสไตล์ภาพต่าง ๆ เช่น Biotar, Cinematic และ Planar ระบบประมวลผลภาพ V3 Plus ก็เพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายภาพกลางคืนและการลด Noise รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 8K 30fps (เฉพาะ X200 Pro) และ 4K 60fps (สำหรับ X200)

ในแง่ของการใช้งานจริง X200 Pro สามารถถ่ายภาพได้คมชัดทั้งในสภาพแสงปกติและแสงน้อย โทนสีออกมาสมจริงและมี Dynamic Range ที่ดี นอกจากนี้ยังมีโหมด Landscape และ Humanistic Snap ที่ช่วยปรับแต่งภาพให้เหมาะกับการถ่ายทิวทัศน์หรือภาพแนวสตรีท ขณะที่ X200 แม้จะไม่มีฟีเจอร์ระดับโปรบางอย่าง แต่ยังคงตอบโจทย์ผู้ใช้งานทั่วไปได้ดี

ในเรื่องของประสิทธิภาพ ทั้งสองรุ่นใช้ชิปเซ็ต Dimensity 9400 ซึ่งมีพลังในการประมวลผลสูงและประหยัดพลังงาน โดย X200 Pro มี RAM 16GB และหน่วยความจำภายใน 512GB ส่วน X200 มี RAM 12GB และหน่วยความจำ 256GB นอกจากนี้ยังมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6,000mAh (X200 Pro) และ 5,800mAh (X200) รองรับการชาร์จไว 90W และ X200 Pro ยังรองรับการชาร์จไร้สาย 30W อีกด้วย

เมื่อทดสอบการใช้งานจริงพบว่า X200 Pro สามารถถ่ายภาพได้คมชัดทั้งในสภาพแสงปกติและแสงน้อย โทนสีออกมาสมจริงและมี Dynamic Range ที่ดี นอกจากนี้ยังมีโหมด Landscape และ Humanistic Snap ที่ช่วยปรับแต่งภาพให้เหมาะกับการถ่ายทิวทัศน์หรือภาพแนวสตรีท ขณะที่ X200 แม้จะไม่มีฟีเจอร์ระดับโปรบางอย่าง แต่ยังคงตอบโจทย์ผู้ใช้งานทั่วไปได้ดี

ในด้านการถ่ายวิดีโอ X200 Pro สามารถรองรับความละเอียดสูงสุดที่ 8K 30fps ในขณะที่ X200 รองรับสูงสุดที่ 4K 60fps การใช้งานในโหมดคอนเสิร์ตก็ทำได้ดีเช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการเก็บรายละเอียดและความคมชัดของภาพ นอกจากนี้ยังมีโหมดถ่ายภาพกลางคืนที่ช่วยให้ภาพออกมาสวยงามโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง

เมื่อพูดถึงการใช้งานในชีวิตประจำวัน X200 Pro ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับคนที่ต้องการกล้องระดับโปร โดยเฉพาะการถ่ายภาพบุคคลและวิดีโอความละเอียดสูง ในขณะที่ X200 เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าหากต้องการสมาร์ทโฟนที่ถ่ายภาพสวยในราคาสบายกระเป๋า ทั้งสองรุ่นยังโดดเด่นด้วยการออกแบบที่หรูหรา ประสิทธิภาพทรงพลัง และฟีเจอร์ AI ที่ช่วยเสริมการทำงานหลายด้าน

Content Cover

Content Cover

ข้อดีของ vivo X200 และ X200 Pro

  1. X200 Pro มีเซ็นเซอร์หลักขนาดใหญ่ถึง 1 นิ้ว (Sony IMX989) และกล้อง Periscope Telephoto ความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ซึ่งให้คุณภาพการซูม Optical 3.7x และ Digital Zoom สูงสุด 100x
  2. ระบบประมวลผลภาพ V3 Plus ช่วยปรับปรุงคุณภาพภาพถ่ายในสภาพแสงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. X200 แม้จะใช้เซ็นเซอร์เล็กกว่า แต่ยังคงความสามารถในการถ่ายภาพที่คมชัด โดยเฉพาะโหมดบุคคลที่รองรับสไตล์โบเก้หลากหลาย
  4. ทั้งสองรุ่นมีหน้าจอ Micro Curve Display พร้อม Refresh Rate 120Hz ทำให้การแสดงผลลื่นไหล
  5. X200 Pro มีกระจกหน้าจอแบบ Armor GL ที่แข็งแกร่งกว่ารุ่นเดิมถึง 11 เท่า
  6. X200 Pro มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 6,000mAh และรองรับการชาร์จเร็ว 90W รวมถึงชาร์จไร้สาย 30W
  7. X200 มีแบตเตอรี่ 5,800mAh ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานตลอดวัน
  8. ตัวเครื่องออกแบบมาอย่างหรูหรา โดยเฉพาะสีเขียว Allora Green และสีน้ำเงินลายพิเศษ
  9. X200 Pro มีโมดูลกล้องที่ยกขึ้นมาเพื่อรองรับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่
  10. รองรับฟีเจอร์ AI ที่ช่วยในการจัดระเบียบโน้ต การถอดเสียงสนทนา และการลบวัตถุออกจากภาพ  
  11. รองรับการใช้งาน Google’s Gemini Assistant และ Circle to Search
  12. X200 Pro รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุดที่ 8K 30fps และ 4K 60fps ในขณะที่ X200 รองรับสูงสุดที่ 4K 60fps

ข้อเสียของ vivo X200 และ X200 Pro

  1. X200 Pro มีราคาสูงถึง 39,900 บาท ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่มีงบประมาณจำกัด
  2. X200 แม้จะมีราคาถูกกว่าที่ 29,990 บาท แต่ยังถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางที่แพงเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น
  3. X200 Pro มีขนาดใหญ่และหนักกว่า X200 ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ชอบสมาร์ทโฟนขนาดกะทัดรัด
  4. X200 ไม่มีฟีเจอร์ชาร์จไร้สาย และไม่มีชิปประมวลผลภาพ V3 Plus ที่ช่วยในการถ่ายภาพ
  5. กล้อง Periscope Telephoto ของ X200 มีความละเอียดเพียง 50 ล้านพิกเซล ซึ่งน้อยกว่า X200 Pro ที่มี 200 ล้านพิกเซล
  6. X200 รองรับการถ่ายวิดีโอสูงสุดที่ 4K 60fps ซึ่งน้อยกว่า X200 Pro ที่รองรับ 8K 30fps
  7. ลำโพงของทั้งสองรุ่นไม่ได้มีคุณภาพโดดเด่น โดยเฉพาะลำโพงด้านบนที่ออกมาจาก earpiece
  8. X200 มีหน่วยความจำภายในเพียง 256GB ซึ่งอาจไม่เพียงพอสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเก็บไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น เกมหรือวิดีโอ
  9. เมื่อเปิดใช้งานระบบกันสั่นในโหมดวิดีโอ ความละเอียดของภาพอาจลดลงเหลือ 2.8K ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพโดยรวม

ประสิทธิภาพของชิปเซ็ตและระบบปฏิบัติการ

ทั้ง vivo X200 และ X200 Pro ใช้ชิปเซ็ต Dimensity 9400 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานที่หนักหน่วง เช่น การเล่นเกมกราฟิกสูงและการประมวลผลภาพถ่ายที่ซับซ้อน ชิปเซ็ตนี้ไม่เพียงแต่ให้พลังในการประมวลผลที่รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ส่งผลให้แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นานขึ้นในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพไว้

สำหรับระบบปฏิบัติการ FunTouch OS 15 ที่มากับ Android เวอร์ชันล่าสุด ทำงานลื่นไหลและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะในโหมด Multi-tasking ที่สามารถสลับแอปพลิเคชันไปมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ AI ที่ช่วยจัดการโน้ต อัดเสียง และสรุปข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคล่องตัวในชีวิตประจำวัน

ในแง่ของการทดสอบประสิทธิภาพ พบว่า X200 Pro มีคะแนน Benchmark สูงกว่าเล็กน้อยในบางหมวด เช่น Single-core และ Multi-core รวมถึงการประมวลผลกราฟิก 3D Mark Extreme Stress Test ที่แสดงให้เห็นถึงความทนทานของ GPU อย่างไรก็ตาม X200 ก็ยังคงทำงานได้ดีในระดับเดียวกันสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การเล่นเกมหรือการใช้งานแอปพลิเคชันพื้นฐาน

การออกแบบหน้าจอและความละเอียดการแสดงผล

vivo X200 Pro มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.78 นิ้ว ในขณะที่ X200 มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อยที่ 6.67 นิ้ว ทั้งสองรุ่นใช้หน้าจอแบบ Micro Curve Display ที่โค้งเล็กน้อยทั้งสี่ด้าน ทำให้ดีไซน์ดูสวยงามและทันสมัย หน้าจอยังรองรับ Refresh Rate สูงสุดที่ 120Hz ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนไหวบนหน้าจอลื่นไหลและคมชัด นอกจากนี้ยังมีค่าความสว่างสูงถึง 4,500 nits ทำให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้อย่างสบายตาแม้ในสภาพแสงจ้า

ในส่วนของความละเอียดหน้าจอ X200 Pro ให้ความละเอียดที่ 2,800 x 1,260 พิกเซล ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานทั่วไป ส่งผลให้รายละเอียดของภาพและวิดีโอที่แสดงผลออกมาคมชัดและมีสีสันที่สดใส นอกจากนี้ยังรองรับการแสดงผล HDR10+ และ Dolby Vision ทำให้การรับชมภาพยนตร์หรือเนื้อหาจากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ

คุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมใน vivo X200 Series

นอกเหนือจากกล้องและประสิทธิภาพแล้ว vivo X200 Series ยังมาพร้อมฟีเจอร์พิเศษที่น่าสนใจ เช่น การรองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และ IP69 ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเครื่องสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ดี นอกจากนี้ X200 Pro ยังมีกระจกหน้าจอแบบ Armor GL ที่แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนถึง 11 เท่า ช่วยลดความเสี่ยงจากการแตกหักเมื่อเกิดการกระแทก

ในด้านการชาร์จไฟ X200 Pro รองรับการชาร์จเร็ว 90W และชาร์จไร้สาย 30W ซึ่งทำให้การชาร์จเต็ม 100% ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ในขณะที่ X200 แม้จะไม่มีฟีเจอร์ชาร์จไร้สาย แต่ยังคงความสามารถในการชาร์จเร็ว 90W เช่นเดียวกัน แบตเตอรี่ของทั้งสองรุ่นมีความจุสูง โดย X200 Pro มีขนาด 6,000mAh และ X200 มีขนาด 5,800mAh ทำให้สามารถใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด

การใช้งานในชีวิตประจำวันและความเหมาะสมกับผู้ใช้งาน

vivo X200 และ X200 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ การเล่นเกม หรือการใช้งานแอปพลิเคชันทั่วไป X200 Pro เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่มีฟีเจอร์ครบครัน โดยเฉพาะในเรื่องของการถ่ายภาพและวิดีโอที่โดดเด่น ในขณะที่ X200 เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพสูงแต่ราคาไม่สูงจนเกินไป

การออกแบบที่กะทัดรัดของ X200 ทำให้สะดวกต่อการพกพา โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชอบความคล่องตัวในชีวิตประจำวัน ขณะที่ X200 Pro แม้จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังคงความสมดุลระหว่างฟังก์ชันการใช้งานและดีไซน์ที่สวยงาม

สเปคของ vivo X200 และ vivo X200 Pro

ชิปเซ็ต:

  • MediaTek Dimensity 9400 (ทั้งสองรุ่น)

RAM:

  • X200: 12 GB
  • X200 Pro: 16 GB

หน่วยความจำภายใน:  

  • X200: 256 GB
  • X200 Pro: 512 GB

กล้องหลังของ X200 Pro:

  • กล้องหลัก: 50 ล้านพิกเซล (เซ็นเซอร์ Sony IMX818)
  • Ultra-Wide: 50 ล้านพิกเซล (ISOCELL JN1)
  • Telephoto (Periscope): 200 ล้านพิกเซล (ISOCELL HP9), Optical Zoom 3.7x, Digital Zoom สูงสุด 100x
  • มีชิประมวลผลภาพ Vivo V3 Plus

กล้องหลังของ X200:

  • กล้องหลัก: 50 ล้านพิกเซล (Sony IMX921)
  • Ultra-Wide: 50 ล้านพิกเซล (ISOCELL JN1)
  • Telephoto: 50 ล้านพิกเซล (Sony IMX882), Optical Zoom 3x
  • ไม่มีชิประมวลผลภาพ Vivo V3 Plus

กล้องหน้าของทั้งสองรุ่น:  

  • ความละเอียด: 32 ล้านพิกเซล
  • ไม่มีระบบออโต้โฟกัส

หน้าจอของ X200 Pro:

  • ขนาด: 6.78 นิ้ว
  • ความละเอียด: 2,800 x 1,260 พิกเซล
  • Refresh Rate: 120Hz (ปรับได้ระหว่าง 1-120Hz)
  • กระจกหน้าจอ: Armor GL (แข็งแกร่งกว่าเดิม 11 เท่า)

หน้าจอของ X200:

  • ขนาด: 6.67 นิ้ว
  • ความละเอียด: 2,800 x 1,260 พิกเซล
  • Refresh Rate: 120Hz (ปรับได้ระหว่าง 10-120Hz)

แบตเตอรี่และการชาร์จของ X200 Pro:

  • ความจุ: 6,000 mAh
  • การชาร์จเร็ว: 90W
  • การชาร์จไร้สาย: รองรับที่ 30W

แบตเตอรี่และการชาร์จของ X200:

  • ความจุ: 5,800 mAh
  • การชาร์จเร็ว: 90W
  • การชาร์จไร้สาย: ไม่รองรับ

การถ่ายวิดีโอของ X200 Pro:

  • ความละเอียดสูงสุด: 8K ที่ 30fps (กล้องหลัก)
  • รองรับ 4K ที่ 60fps (ทุกกล้อง)
  • โหมด Super Slow Motion: 120fps

การถ่ายวิดีโอของ X200:

  • ความละเอียดสูงสุด: 4K ที่ 60fps (กล้องหลัก)
  • ไม่รองรับ 8K

ฟีเจอร์พิเศษของทั้งสองรุ่น:

  • รองรับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 และ IP69
  • รองรับ Dolby Vision และ HDR10+
  • AI Features: Circle to Search, AI Note Assist, AI Transcript Assist, AI Erase

ฟีเจอร์พิเศษเฉพาะ X200 Pro:

  • เซ็นเซอร์กล้องใหญ่ขึ้น (1/1.28 นิ้ว)
  • ระบบ T* Coating เพิ่มประสิทธิภาพลดแสงสะท้อน

ดีไซน์และวัสดุของ X200 Pro:

  • โมดูลกล้องยกขึ้นสูงกว่า
  • สี: Titanium Gray, สีดำ
  • ขอบอลูมิเนียมขัดเงา

ดีไซน์และวัสดุของ X200:

  • โมดูลกล้องยกขึ้นเล็กน้อย
  • สี: Allora Green, สีน้ำเงินลายพิเศษ, สีดำ
  • ขอบอลูมิเนียมขัดเงา

ราคาของ X200: 

  • 29,990 บาท

ราคาของ X200 Pro: 

  • 39,900 บาท

ฟีเจอร์อื่น ๆ ของทั้งสองรุ่น:

  • รองรับ Google Gemini Assistant
  • ลำโพง: ไม่มีลำโพงคู่ (ใช้ Earpiece เป็นลำโพงบน)
  • ไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.
  • ระบบปฏิบัติการ: Android 15 + FunTouch OS 15

ความคิดเห็น